Hiking Thai
Hiking Thai => เที่ยวนอกบ้าน...นอกเมืองไทย => Topic started by: designbydx on เมษายน 25, 2017, 09:36:16 pm
Hello Iran จำนวนผู้เดินทาง 5 คน 10 เม.ย. 60 เดินทางด้วยสายการบิน Mahan Air จาก สุวรรณภูมิ-Tehran บินตอน 4 ทุ่ม ใช้เวลา 7.40 ชม.(เวลาช้ากว่ากัน 3 ชม. 30 นาที) 11 เม.ย. 60 ถึง Tehran ทำวีซ่า กับประกัน(ทำที่สนามบิน) เดินทางไปที่พักที่ได้จองไว้แล้ว (Persian Hostel) - Golestan Palace พระราชวังสวนกุหลาย - Tehran Bazaar ตลาด - National Jewels Museum (ไม่ได้เที่ยวเพราะปิด เนื่องจากเป็นวัน Father day) - Tabiat Bridge(ไม่ได้ไป) - Milad Tower ดูมุมสูงเมือง Tehran 12 เม.ย. 60 Tehran-Shiraz ฝากเป๋าไว้ก่อน เดินทางด้วยรถบัสข้ามเมืองตอนเย็น(19.00 น.) - Tajrish Bazaar เป็นตลาดท้องถิ่นเล็กๆ - Darband เป็นหมู่บ้านทีมีกระเช้าขึ้นภูเขาหิมะ แต่ไม่ได้ขึ้นนะ ฝนตกๆๆๆ - Azadi Tower ตึกวายคว่ำ (ไม่ได้ไป เวลาไม่พอ) 13 เม.ย. 60 Shiraz พักที่ Niayesh Boutique Hoste(ที่พักนี้โอเคเลยนะ แนะนำ) - เดินเที่ยวตลาด Vakil Bazaar ทีมีพรมขายเยอะๆ - Karim Khan Fort ป้อม - Narenjestan e Ghavam คฤหาสห์ของคหบดีตระกูลสูง - Ali Ibn Hamza มัสยิด(ไม่ต้องไปหรอกนะอันนี้) - Vakil Mosque ใหญ่มาก คุมเข้มการเข้า(แนะนำให้เข้า) 14 เม.ย. 60 เช็คเอ๊า เหมารถ(230 us)ไปเมือง Yard เที่ยวระหว่างทาง ไม่ต้องย้อนกลับเข้าเมือง - Pink Mosque หรือ Nasir ol Molk Mosque มัสยิสสีชมพู - Persepolis เมืองโบราณ - ถึงเมือง Yard เข้าที่พัก Orient Hotel (ที่นี่ไม่โอเคน่ะ) ถึงเย็นมืดๆ - Kabir Jameh Mosque ติดที่พัก 15 เม.ย. 60 - Amir Charhmaq Mosque - ตอนบ่ายไปกับทัวร์ Maybod, Kharanaq, Chak Chak, Ice House, Caravan มาถึง โรงแรมประมาณ 2 ทุ่ม - นอนอีกคืน 16 เม.ย. 60 เดินทางไปเมือง Esfahan ด้วยรถประจำทาง ขึ้นตอน 10.45 น. - ถึง Esfahan ประมาณ 14.00 น. - เข้าที่ัพัก Amir Kabir Hoste ที่นี่บริการดีนะ แต่อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง - Naqsh-e Jahan ซึ่งจะมีมัสยิดรอบๆ - Ali Qapu Palace พระราชวัง - Pol-e Khaju สะพานคาจูร์ข้ามลำน้ำ Zayade 17 เม.ย. 60 - เที่ยวต่อรอบๆ Naqsh-e Jahan - Masjed-e Imam หรือ Masjed-e shah - Masjed-e Sheikh Lotfollah เล็กกว่าอันบน - ช๊อปปิ้งๆๆๆๆ - Masjed-e Jameh มัสยิดวันศุกร์ - Vank Caterdral - Pol-e Si-o-Seh สะพาน 33 โค้ง (ฟ้าปิดเซ็ง) 18 เม.ย. 60 - พักอีกคืน ตืนเช้าเดินทางไปเมือง Kashan ด้วยรถประจำทาง ประมาณ 3 ชม. - พักที่ Ehan Historic house ที่พักโอเค - Abbasian Historical House - Sultan Amir Ahmad Bathhouse - Borujerdi Historical House - Tabatabaei Historical House(จริงๆ มีหลายที่แต่เลือกเขาแค่นี้ คิดว่าสถาปัตย์คงเหมือนๆ กัน) 19 เม.ย. 60 พักอีกคืน - Aqa Bozorg Mosque - Fin garden - Abyaneh - Salt Lake - Maranjab Desert ดูพระอาทิตย์ตก บางคนไปดูขึ้น - พักกลางทะเลทราบเป็น Caravasaral (มีน้ำอุ่นอาบนะ แต่ที่นอนไม่สบายเท่าไรแมลงวันเยอะ) 20 เม.ย. 60 - เดินทางกลับ Tehran ด้วยรถประจำทาง มีเวลาเหลือเลยแวะไปเที่ยว - Azade Tower - ไปสนามบิน บินกลับ อุปกรณ์ กล้อง Fuji xt1, samyang 8 mm and 12 mm, fuji 55-250 canon 5dMark III + 40 mm pancake gopro ค่าใช้จ่ายตลอด 10 วัน เฉลี่ยวันละ 2000 บาท ค่าเครื่อง 16,000 บาท เบ็ดเสร็จ รวม 36,000 บาท ช็อป 4,000 บาท เป้ใส่ไม่หมด Download โบว์ชัวร์ของประเทศอิหร่าน ลองไปอ่านดูลิงค์ด้านล่างนี้นะครับ http://hikingthai.com/Download/Iran/GateofAllNations_Iran.pdfVIDEO
อิหร่าน 60 ข้อที่สะดุด 1. ไม่มีหมูให้กิน มีแต่ไก่ แกะ อูฐ ผัก แป้งที่เป็นแผ่นๆ(แทนข้าว) 2. น้ำมีจำกัด แต่เห็นเขาใช้ไม่รู้สึกว่ามีจำกัด บางเมืองต้องเอาน้ำจากอีกเมืองมาใช้ไกลมาก 3. ทิชชู่ หนามาก 4. น้ำไหลแรง และบางที่ดื่มได้ 5. ห้องน้ำเป็นแบบนั่งยองส่วนใหญ่ ไม่มีโถปัสสาวะ 6. ห้องน้ำนิยมเรียกว่า WC 7. อาคารโครงสร้างเหล็กแทนเสาคอนกรีต แต่ก่ออิฐเป็นผนัง 8. ร้านค้าเปิดประมาณ 9.00 น. ปิดประมาณ 12.00-14.00 น. เปิดอีกที่ 14.00 น.เป็นต้นไป ถึงดึก 9. รถไฟใต้ดินแยกโบกี้ชายหญิง 10. มาม่าหากยากมากก แทบพลิกแผ่นดิน 11. อาคารหรือบ้านจะมีชั้นใต้ดินทุกที่ 12. พรมเปอร์เซีย พรมปูพื้นคิดว่า ไม่เคยซัก 13. มิเตอร์ประปา เจออันเดียว เดิน 10 วัน ส่วนใหญ่จะเจอแต่ท่อส่งแก๊ส 14. อากาศแห้ง ไม่มีความชื้น ตากถุงเท้า ไม่ทันจะข้ามวันก็แห้ง 15. ออยทาผิว เกือบเอาไม่อยู่ ปากแห้งมากแนะให้เอาลิปมันไปด้วย 16. ไม่ค่อยฉี่ แต่กินน้ำได้เยอะมาก ไม่รู้มันระบายออกไปตอนไหน ยังไง 17. ผลไม้มีรสเข้มข้นมาก ทุกอย่างอร่อย 18. ราคาแท็กซี่ ต้องต่อทุกครั้งอย่างน้อย 30-50% 19. รถยนต์คันเล็กมาก มักไม่ล้าง ห้องโดยสารส่วนใหญ่ ไม่สะอาดและมีรอยขีดรอบคัน 20. ชอบเปิดกระจกรถ และเปิดเพลงฟัง ไม่รู้แยกประสาทยังไง 21. ผู้หญิงมักชอบ แอบเปรี้ยวใต้ผ้าคลุมสีดำ ถ้าเห็นใครทำผมทอง มั่นใจได้เลย 22. ผู้ชายแต่ตัวเรียบร้อย เสื้อแนบในกางเกงตลอด และนิยมใส่เสื้อแขนยาว 23. เสื้อกันหนาวไม่เห็นใส่ แต่ใส่ประเภทเสื้อสูทกันหนาวแทน 24. น้ำดืมขวดราคาไม่แพง ไม่เกิน 10 บาท 25. รุ่นเก่าพูดอังกฤษ 26. ชอบชวนกิน ชอบชวนคุย พาเที่ยว(แต่เราไม่ชอบ) 27. ไอติม แพงมากกก(แต่รสชาติก็เข้มข้นนะ) 28. วิธีรดน้ำต้นไม้ริมถนน จะเปิดน้ำให้ไหลไปในรางต้นไม้เลย 29. ขับรถกันแบบไม่เคารพกฏ แต่ก็ไปได้ 10 วันยังไม่เห็นชนกัน 30. ไม่มีแอลกอฮอล์ขาย ไม่ดูทีวี ชอบไปปิดนิคนอกบ้านกันวันหยุด 31. ตอนเช้าจะพบเจอคนได้น้อยมากๆ จนกว่าจะ 08.00-09.00 น. จะเริ่มมีคนพลุกพล่าน 32. ค่าโรงแรมแพงมาก นอนดรอม ก็ไม่ต่ำกว่าหัวละ 15US 33. อาหารเช้า เป็นแป้ง ผลไม้ ขนมปัง ซึง ก็กินไม่ค่อยได้ ไม่อร่อย 34. ความเร็วอินเตอร์เนตต่ำมาก เฟสเล่นไม่ได้ ถ้าจะเล่นต้องผ่านโปรแกรม VPN อีกที อัพรูปทีเหนื่อย 35. มัสยิด จะเวอร์วังอลังการสุดๆ 36. มีหิมะตกนะประเทศนี้ 37. หน้าตาคนจะคล้ายกันมาก ส่วนใหญ่ไม่สูงมาก 38. ผู้ชาย และหญิง จะนิยมทำจมูก คือ เอาลงมันโด่งไป 39. พูดถึงประเทศไทย เขาจะบอกว่า พัทยา ภูเก็ต ไม่รู้มันทำไมจำได้แม่นขนาดนี้ และก็จำแค่ 2 เมืองนี้ 40. รถมอไซด์ เหมือนรถยุคคุณพ่อวัยรุ่น 41. ร้านสะดวกซื้อไม่มี 42. เสื้อผ้า ก็ดูเหมือนโบเบ้ ราคาก็แพงอยู่นะ บางร้านมีเกงมวยไทยขาย 43. ในมัสยิด ตั้งขาตั้งกล้องได้ มีแค่บางที่ห้าม 44. เขาคิดว่าผมเป็นแขก มาเลเซีย เลยชอบเข้ามาทัก มาคุย (ทั้งที่ผมผิวขาว) 45. รถบัสข้ามเมือง เป็น VIP มีขนมน้ำแจก เบาะใหญนั่งสบาย แต่ก็จอดเรียกคนเหมือนบ้านเรา แต่ทุกคนแต่งตัวดี เสื้อเน็บใน ผมเรียบ แต่รถก็ไม่ค่อยเต็ม 46. น้ำมันราคาถูก เหมือนจะไม่ถึง 10 บาท 47. ซอย มักจะแคบ พอดีตัวรถ 48. แทกซีเป็นสีเหลือง 49. เห็นแต่โค๊ก ส่วนใหญ่ 50. ไม่เห็นคนอิหร่านถือกล้อง ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่ถือกล้อง 51. ไม่ค่อยเห็นตำรวจ ไม่รู้อยู่ไหน 52. ค่าเข้าสถานที่ ส่วนใหญ่ 200 บาท ราคาเดียวทุกที่ 53. เบาะรถ เก้าอี้ ไม่นิยมแกะพลาสติกออก 54. สถาปัตยกรรม ดูไกลๆ สวย ดูใกล้ๆ งานหยาบมาก 55. หากสะพายเป้ด้านหลังระวังตกส้วมตอนเข้าห้องน้ำ ตอนหมุนตัว 56. รถไฟใต้ดินขาออก เดินออกไปเลย ไม่ต้องแตะบัตรอะไรให้วุ่นวาย 57. สีเสื้อผ้า ส่วนใหญ่เป็นสีทึมๆ 58. ผู้หญิงจะไม่เข้าใกล้ผุ้ชาย แม้จะเป็นรุ่นป้าก็ตาม 59. มีซีดี หนัง เถื่อนขายเหมือนกัน ไม่พลาดที่ซื้อ mp3 มาด้วย 60. หน้าปกเพลงมีแต่รูปผู้ชาย
10 เม.ย. 60 เดินทางด้วยสายการบิน Mahan Air จาก สุวรรณภูมิ-Tehran บินตอน 4 ทุ่ม ใช้เวลา 7.40 ชม.(เวลาช้ากว่ากัน 3 ชม. 30 นาที)
ก่อนอื่นมาอ่านประวัติย่อๆ กัน การเที่ยวครั้งนี้จะได้สนุกขึ้นนะ 200,000 ปีที่แล้ว มนุษย์โบราณสร้างชุมชนและเครื่องมือหินต่างๆ 12,000 ปีที่แล้ว หลักฐานการเริ่มปลูกข้าว 9,000 ปีที่แล้ว การผลิตไหดินเผาเพื่อบรรจุไวน์ที่โชกามิช 5,000 ปีที่แล้ว ซิกกูแรต(ไม่รู้คือไรเหมือนกัน)แห่งแรกของโลกที่เทเปซิอัก(เนินดินใกล้เมือง Kashan) 4,500 ปีที่แล้ว ชาวอีลาม(Elam) เรื่องสร้างนครซูซา 3,300 ปีที่แล้ว กษัตริย์อุนทุช นาปิริชา(Untash Naporisha) สร้างโชกาซานบิล(Choqa Zabil) 647 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าอัสซูร์บานิปาล(Ashurbanipal) ทำลายซูซา 836 ปีก่อนคริสตกาล ชาวมีดีสสร้างเมืองหลวงที่ เอคบาตานา 559 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าไซรัสมหาราชสถาปนาจักรวรรดิอเคเมนิด ก่อนจะพิชิต มีดีส และ ลีเดีย 500 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าดาริดุสมหาราช สร้างนครเปอร์เซโพลิส และปกครองจักรวรรดิที่ใหญ่ที่สุดในโลก 331 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช เอาชนะ กองทัพหลวงของเปอร์เซีย 323 ปีก่อนคริสตกาล เซลิวคัส แม่ทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ตั้งราชวงศ์เซลิวซิด 247 ปีก่อนคริสตกาล นักรบพาร์เทียนจากแถบแคสเปียนตั้งราชวงศ์หใม่ขึ้นครองอิหร่าน 100 ปีก่อนคริสตกาล จักรวรรดิพาร์เทียน ครอบครองดินแดนจาดรมันจรดจีน ค.ศ.25 ราชทูตพาร์เทียนนำสิงโตไปถวายจักรพรรดิราชวงศ์ฮั่นของจีน ค.ศ.224 อดาซีร์โค่นอำนาจกษัตริย์พาร์เทียนตั้งราชวงศ์ ซัสซานิด ขึ้นครองอิหร่าน ค.ศ.260 พระเจ้าซาปูร์ที่ 1 เอาชนะกองทัพโรมัน และจับจักรพรรดิวาเลอเรียน เป็นเฉลยศึก ค.ศ. 637 นักรบมุสลิม เข้าทำลายนครหลวงเทซิฟอนของราชวงศ์ซัสซานิด ค.ศ. 331-750 กาหลิบวงศ์อุมัยหยัด ปกครองตะวันออกลางจากนครดามัสกัส ค.ศ. 820-900 ราชวงศ์ท้องถิ่นในอิหร่านแยกตัวจากกาหลิบวงศ์อับบาสิด ค.ศ. 1051 พวกเซลจุกจากเอเซียกลางเข้าปกครองอิหร่าน ค.ศ. 1256 ฮูลากู หลานเจงกิสข่าน ทำลายพวกอับบาสิด ตั้งราชวงศ์อิลข่าน ค.ศ. 1271-1295 มาร์โค โปโล เดินทางผ่าน ตาบริช คาซาน ยาซด และฮอร์มุช ค.ศ. 1389 ติมูร์ หรือ ทาเมอร์เลน จากอุสเบกิสถาน ปกครองอิหร่าน ค.ศ. 1501 อิสมาอิล ซาฟาวี ตั้งราชวงศ์ซาฟาวิด ทำสงครามกับ ออตโตมันและอุสเบก ค.ศ. 1587 พระเจ้าอับบาสมหาราช ปกครองจักรวรรดิ ซาฟาวิดจากนครหลวง อิสฟาฮาน ค.ศ. 1738 ขุนศึกนาเดิร์ซาห์ รบชนะกษัตริย์อินเดียได้เพชรและสมบัติล้ำค่า กลับมาจำนวนมาก ค.ศ. 1750 การิมข่านย้ายเมืองหลวง ไปชิราช และปกครองในนามข้าหลวง ค.ศ. 1794 อกา โมฮัมหมัด ตั้งราชวงศ์กาจาร์ ขึ้นครองอิหร่าน โดยมีเตหะรานเป็นเหมืองหลวง ค.ศ. 1848-1896 รัชสมัยของนาเซอร์ อัล-ดิน ซาห์ กษัตริย์นักปฏิรูป ค.ศ. 1906 การปฏิวัติที่นำไปสู่การยอมรับ รัฐธรรมนูญ อิหร่านมีรัฐสภา ค.ศ. 1925 เรซาข่านนำกองทัพเข้ายึดอำนาจปิดฉากยุคราชวงศ์กาจาร์ และเริ่มต้นราชวงศ์ปาห์เลวี ค.ศ. 1951 การยิดกิจการน้ำมันทั้งหมดให้ตกเป็นของรัฐ ค.ศ. 1978-1979 ความปั่นป่วนทางการเมือง โมฮัมหมัด เรซาซาห์ ปาห์เลวี กษัตริย์สุดท้ายหนีออกจากอิหร่านวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 1979 อยาดุลเลาะห์โคมัยนี เดินทางกลับถึงเตหะรานในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ก่อนจะเปลี่ยนอิหร่านเป็นสาธารณรัฐอิสลาม ค.ศ. 1980-1988 สงครามอิรัก-อิหร่าน ที่มีผู้เสียชีวิตเกือบล้านคน ค.ศ. 1989 อยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมใน(Ayatollah Ali Khamenei) เป็นผู้นำสูงสุดหลังมรณกรรมของอิหม่ามโคมัยนี ชาวอิหร่านเรียนขานท่านในฐานะ อิหม่าม หรือ นักบุญ ที่มา IRAN The Crossroads Civilization จุดบรรจบอารยธรรมโลก ผู้จัดทำ KTC guidezine wongklom journey
11 เม.ย. 60 ถึง Tehran ทำวีซ่า กับประกัน(ทำที่สนามบิน) เดินทางไปที่พักที่ได้จองไว้แล้ว (Persian Hostel) - Golestan Palace พระราชวัง - Tehran Bazaar ตลาด - National Jewels Museum (ไม่ได้เที่ยวเพราะปิด เนื่องจากเป็นวัน Father day) - Tabiat Bridge(ไม่ได้ไป) - Milad Tower ดูมุมสูงเมือง Tehran เขาบอกว่า อยากดูอิหร่านสมัยใหม่ ที่ Tehran จะเป็นตัวแทนได้เป็นอย่างดี เมืองนี้อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1200 ม. มีประชากรเกือบ 20 ล้านคน ที่เห็นหลังภาพคือ เทือกเขาอัลบอร์ซ(Alborz)
ถึง Tehran ทำวีซ่า กับประกัน(ทำที่สนามบิน) เดินทางไปที่พักที่ได้จองไว้แล้ว (Persian Hostel) เป็นแบบ Drom ก็แคบๆ พออยู่ได้ ห้องน้ำสะอาดอยู่ ที่สำคัญอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน ทำให้เดินทางไปไหน มาไหน สะดวกมาก ราคา Drom หัวละ 15us ส่วน Private room 45us(ไม่รู้มีกี่เตียง)
อยู่ใกล้สถานี Shahid Mofateh Metro Station เดินประมาณ 2 นาทีก็ถึง
ค่ารถไฟใต้ดิน 7 บาทตลอดสาย แตะบัตรขาเข้า ขาออกเดินออกเลย
เข้าไปก็จะกลายเป็นตัวประหลาดทันที ทุกสายตาจะจ้องมาที่เราทันที ถ้ามาคนเดียวคงจะเขินมาก โบกี้แยกชายหญิง ถ้าหญิงจะขึ้นโบกี้ชาย ต้องมีคนไปด้วย
สัญลักษณ์รถไฟใต้ดินบ้านเขา และตั๋วรถไฟ
เรามาถึง โรงแรมเช้ามากประมาณ 07.00 น. ประตูก็ปิด จนพี่แทกซี่ต้องเตะประตู ให้เสียงดังจึงมีคนมาเปิดให้ มารู้ตอนหลังคนที่นี่เหมือนจะเริ่มทำงานกันสายๆ ไม่เหมือนบ้านเรา เข้ามาได้ก็ฝากกระเป๋าไว้ก่อนเพราะ เช็คอินได้บ่ายสอง รออะไร ก็ไปเที่ยวก่อนสิ หน้าตาพี่แทกซี่ ดูดีเชียวนะลุง
ก็นั่งรถไฟใต้ดินไปเที่ยว World Heritage site of Golestan Palace พระราชวังสวนกุหลาบ ถ้าจำไม่ผิดจะลงที่สถานี Panzdah Khordad Metro Station
แต่เปิด 09.00 น. จึงไปเดิน Bazaar หาข้าวกินก่อน หายากมาก สอบถามคนแถวนั้นบอกว่าเป็นวันพ่อเขาจะหยุดหมด เวงงงง เดินหาตั้งนานก็มาเจอร้านนึง หน้าตาอาหารเป็นแบบนี้ เรียกไม่ถูก แต่รสชาติไม่ต้องพูดถึง
เงียบป่ะละ
พระราชวังเปิดแระ ไปเที่ยวดีกว่า เขาเปิด 09.00-16.00 น. เปิด ศุกร์-เสาร์ กับ จันทร์-พุธ ค่าเข้าแยกตามอาคาร พระราชวังแห่งนี้ คือ อนุสรณ์สถานความรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้ง ของราชวงศ์กาจาร์เมื่อ 200 กว่าปีที่แล้ว
ห้องสำคัญๆ มีตัวอย่างให้ดู
เดินตามที่แผนที่แนะนำเลย มาดู อันแรกกัน Iwan-e Takht-e marmar(Marble Throne Terrace) บัลลังก์หินอ่อน
ภายใต้ผ้าม่านเป็นแบบนี้
เดินวนทวนเข็ม สถาปัตย์ประเทศนี้ นิยมทำแบบสมมาตรกันน่ะ อันต่อไป Khalvat-e Karim Khai เป็นที่ประทับของการิมข่าน ตรงระเบียงด้านข้างเปิดออกสู่สวน เป็นมุมพระสำราญที่สูบมอระกู่ของพระเจ้านาเซอร์ อัล-ดินซาห์(Naser al-din Shah) โดยมีเสียงน้ำพุจากหินอ่อนขับกล่อม
มาดูด้านในกัน ฟิตอายถึงจะเอาอยู่นะ วายไม่พอ
อีกมุม
ถ่ายยากอยู่นะ
บางอันก็ไม่เข้านะ เช่น Negar-Khaneh(Iranian Paintings Gallery), Makhsus Museum(Royal Museum) แต่เลือกเสียเงินเพิ่มที่จะเข้า Main Hall(Royal Audience Hall-Mirror Hall)(Ivory Hall-Porcelains Hall)
ภายในห้ามถ่ายรูปอ่ะ
ภายในอาคารจะประดับด้วยกระจกหลากสี และลวดลายของกระเบื้องเซรามิคอิหร่าน ภาพวาดข้าวของสะสม ทั้งที่เป็นของบรรณาการจากแว่นเคว้นมิตรประเทศ ทุกสิ่งสะท้อนถึงรสนิยมของผู้สร้าง รวมทั้งอิทธิพลจากยุโรปที่แทรกซึมอยู่ในทุกมิติ
Howa-Khaneh(European Painting Gallery), Talar-e Berelian(Brilliant Hall) ก็ไม่ได้เข้านะ เดินดูรอบๆ แทน
ลายกระเบื้องที่บอกว่าอลังการ แต่เราว่าลายหยาบไปน่ะ ตอนมองใกล้ๆ
แต่ละช่องกำแพงลายจะไม่เหมือนกัน
อีกลาย
ถัดไป Shams ol-Emareh (Edifice of the Sun)
พื้นที่ก็ไม่ใหญ่มาก
Aks-Khaneh(Historic photographs Gallery) Emarat-e Badgir(win Catcher Edifice) Talar-e Almas(Diamond Hall) ไม่ได้เข้า ก็เดินดูรอบๆแทน
แผนที่แนะนำการเดิน
โชคร้ายขอเรา ฝนตกอ่ะ เซ๊ง เซ็ง พิพิธภันฑ์เพชรก็ปิดอ่ะ ก็เลยเปลี่ยนไปเที่ยว หอคอยมิลาด(Milad Tower) ทั้งๆ ที่ฟ้าไม่เป็นใจ ไม่มีรถไปถึง ต้องใช้แท็กซี่อย่างเดียวสะดวกสุด
หอคอยมีความสูง 435 เมตร เปิดทำการเมื่อ ค.ศ.2008 ก่อสร้างนานถึง 13 ปี เปิด 09.00-21.00 น. ค่าเข้าจำไม่ได้
ถ้าฟ้าเปิดก็จะเห็นวิว 360 องศา แต่เขาบอกว่ามลพิษเยอะ ฟ้าเปิดคงยาก
จุดสูงสุด อยู่บนยอดแหลมๆ ซึ่งก็คือเสาโทรคมนาคมของประเทศ
วิวเมืองรอบๆ บ้านเขาสีตึกเหมือนกันหมดเลย
ถนนก็วนๆ กันไป
ด้านหลังเทือกเขา อัลบอร์ซ
บนหอคอยนี้มองเห็น Azadi Tower ด้วย
มีกล้องให้ส่องเหมือนกันนะ
หมดวันแระ กลับมานอน 12 เม.ย. 60 Tehran-Shiraz ฝากเป๋าไว้ก่อน เดินทางด้วยรถบัสข้ามเมืองตอนเย็น(19.00 น.) - Tajrish Bazaar เป็นตลาดท้องถิ่นเล็กๆ - Darband เป็นหมู่บ้านทีมีกระเช้าขึ้นภูเขาหิมะ แต่ไม่ได้ขึ้นนะ ฝนตกๆๆๆ - Azadi Tower ตึกวายคว่ำ (ไม่ได้ไป เวลาไม่พอ) มีเวลาตอนเข้า ก็เลยมาเดินเล่นแถวๆโรงแรม ภาพนี้ตอนแรกนึกว่าท่อประปา แต่น่าจะเป็นท่อแก๊สมากกว่า
สวนหย่อมก็จะมีสถาปัตย์น่ารักๆ ซ่อนอยู่
ช่วงเช้าไปทำงานกัน แทกซี่ เขาจะแชร์กันนะ แต่จอดรับกันที่สีแยกกันเลย
มอไซด์ตำรวจ
ถึงเวลาแล้วต้องไปเที่ยว ตลาด Tajrish Bazaar เป็นตลาดท้องถิ่นเล็กๆ
มีความรู้สึกว่า เออ เหมือนตลาดหน่อย
ปิ้งย่างก็มีนะ
สวัสดีครับ ลุง
ผักก็มี
โดนัทก็มี
ไก๋ก็มีเลยจบที่ร้านนี้ อร่อย
วุ่นวายดีเหมือนกันนะ
แทกซี่เหลืองเพียบ รอเรียกลูกค้า แต่ดูฟ้าสิ ฝนตกจร้าาา
ไปต่อ Darband เป็นหมู่บ้านทีมีกระเช้าขึ้นภูเขาหิมะ แต่ไม่ได้ขึ้นนะ ฝนตกๆๆๆ ก็อยู่ใกล้ๆ กับตลาดนี่ล่ะ นั่งแทกซี่ไปกัน ไปดูซะหน่อย ว่าเป็นไง จุดนี้จะเป็นจุดที่เขาขึ้นไปเล่นสกีกัน
แป๊บเดียวก็ถึง หน้าตาเป็นแบบนี้ ก็เลยลองเดินสำรวจดูว่ามีไรกันบ้าง
ที่เห็นเสาสูงนั่นล่ะ จุดขึ้นลิฟท์ จะขึ้นไปทำไมล่ะ ฝนตกนี่ เซ็ง อด
ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมที่พักร้านอาหาร ที่นี่นอกจากเล่นสกีแล้วยังมีเทรคกิ้งด้วยนะครับ
รถขนของ
ร้านอาหาร ชมวิว ภูเขา
ห้องน้ำชาย จะไม่มีโถปัสสาวะนะครับ
หมดจบกัน ต้องไปต่อแล้ว เดินทางไปยังสถานีรถบัสเดินทางไปเมือง Shiraz อยู่ใกล้ใต้ดินสถานี Terminal-e Janoob เดินอีกนิดก็ถึงแล้ว
อาคารถูกออกแบบเป็นวงกลม ผู้คนไม่เยอะมากนัก
ก็เลือกเดินทางกับอันนี้ นะ
รอเวลาน่ะ
รถบ้านเขาจะเป็นแบบ vip หมด นั่งสบาย รถไม่ค่อยเต็ม ไม่มียืน
ด้านหน้า คนขับ น่าจะจำกัดความเร็วนะ มีกล้องจับระหว่างทางตลอด และก็เปลี่ยนคนขับด้วย
มีข้าวแจก น้ำ ขนม พร้อม
มีจุดแวะพัก เข้าห้องน้ำ แต่เดาว่าหยุดเพื่อละหมาด
ตื่นมาอีกที่อยู่มุมไหนของโลกก็ไม่รู้
ห้องน้ำ หนาวโครต
รีบวิ่งไปละหมาดกัน เสร็จก็รีบมาขึ้นรถ
เข้าแล้ว ก็ยังไม่ถึง ไกลจังวุ้ย
ถึงซะที เดินทางประมาณ 13-14 ชม. ไปหาแทกซี่ไป โรงแรมที่จองไว้
ได้ล่ะ คันนี้เลย ต่อราคาด้วยนะครับ ลดซัก 30-40%
รถลุงเน่ามาก
ถึงแระ โรงแรมที่พัก Niayesh Boutique Hoste (แนะนำที่นี่โอเคเลยนะ)
ตำแหน่งนี้นะ
คนมาเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ที่นี่เจอคนไทยด้วย
แนวไหม
ถูกใจอ่ะ ที่นี่
โรงอาหาร เด็ดสุด คือมาตอนไหนก็กินได้เลย ไม่ต้องรอรอบ แต่ว่า ก็กินไม่ค่อยลงเหมือนเดิม แอบคิดในใจมิน่าล่ะให้กินได้ตลอด 5555
จักรยานคันนี้ก็พักที่นี่ เขาปั๋นที่ประเทศไทยมาแล้ว 2 week ago คุณเก่งมากรู้ไหม ที่รอดมาได้
ฝากของไว้ก่อน รอเช็คอิน ก็ไปเดินเที่ยวกันก่อนดีกว่า ไม่เข้าใจเท่าไหร่ กับภาพวาดหน้าคน บนกำแพง ใครเหรอ?? ดารา นักการเมือง นักบุญ
ไปเที่ยวตลาด Vakil Bazaar
ของที่โดดเด่นแตกต่างจากบ้านเราคงเป็นพวกเครื่องใช้ที่เป็นโลหะนะ บ้านเขาน่าจะมีแหล่งแร่ แต่ละอันดูแพง สวย แต่จริงราคาถูก สวยอ่ะชอบ
บ้านเรือนสมัยไหนไม่รู้ น่าจะอนุรักษ์เนอะ
ร้านขายจาน เก้าอี้
ประตูด้านข้าง Vakil Mosque เดี๋ยวมาอีกที ช๊อปก่อน
ถึงแล้ว แหล่งรวม พรมเปอร์เซีย แพงเหมือนกันเนอะ แต่ไม่ได้ซื้อนะ คิดว่าคงไม่เหมาะกับเมืองไทย มันน่าจะดูดฝุ่นได้ดี และอีกอย่าง ไม่มีเงิน 5555
มีปักเป็นรูปใส่กรอบ
ร้านขายพรม
ชอบหลังคาออกแบบเป็นทรงโค้ง มีช่องรับแสงสว่างตรงกลาง
ร้านนี้ออกแนวแก้บน
ร้านพวกเครื่องใช้โลหะ ถ้าจะซื้อคิดให้ดีนะ หนักเหมือนกันแต่ละชิ้น
แบบผืนใหญ่ๆ ไว้อวด
กระเป๋าก็มี
เครื่องเทศ
เดาว่าน่าจะของก๊อบนะ
ชอบทรงหลังคาน่ะ
เจ๊ ร้านตัดผม ทักทายเสียงดังออกมานอกร้านเลย
นี่ๆๆ ชอบอันนี้ กาดำ กาเงิน กาทอง เจ๋งป่ะล่ะ
หิวแระ กินก่อนนะ ไก่อบจะออกรสเค็มนะ อร่อยดีกินกับข้าวสวยร้อนๆ
ร้านขายไก่เป็นๆ
ที่นี่ไม่ค่อยเห็นหมา เจอตัวนี้แค่ตัวเดียว
กินข้าวเสร็จก็จะไปเที่ยว Karim Khan Fort หรือ Arg-e Karim Khan
เขาบอกว่า การิมข่ายตั้งใจจะพัฒนาให้เท่ากับ อีสฟาฮาน กำแพงป้อมก่ออิฐเรียงเป็นลวดลายประณีตามขนบสถาปัตยกรรมยุคราชวงศ์ซานด์
จะเห็นว่าป้อมจะเอียงๆ เขาบอกว่าเพราะว่าด้านล่างเป็นที่บ่อน้ำใต้ดิน และจุดที่ตั้งโรงอาบน้ำ
ลวดลายของป้อม
มีจุดแนะนำถ่ายรูปด้วย
ไม่ได้เข้านะ ต้องเสียเงินด้วย เราไปกันต่อที่ Narenjestan e Ghavam นักแทกซี่ไป เปิด 08.00-18.30 น.
ออกแบบ แบบสมมาตร ตรงกลางเป็นสวนพุ่มไม้ เดิมเป็นคฤหาสน์เป็นของคหบดีตระกูล Qhavem จากเมืองแกซวิน
ซึ่งภายหลังเข้ามามีบทบาทในรัฐบาลตั้งแต่สมัยราชวงศ์ ซานด์ กาจาร์ จนมาถึงราชวงศ์ปาห์เลวี
การก่อสร้างสะท้อนรสนิยมของชนชั้นสูงในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ผนังและเพดานเพนต์ลวดบายวิจิตร
ทุกห้องแต่งไม่ซ้ำกัน
ชั้นบนจะมีภาพเพนต์บนค่านเพดานตามแบบศิลปะวิกตอเรียนของยุโรป
ชอบประดับด้วยกระจก
บนผนังอาคารด้านนอกก็มีลวดลายศิลป
อีกภาพ
ด้านล่างอาคาร ก็ขายของ และเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของชิ้นเล็ก ทางโบราณคดี
แปลกดี
น่าจะเป็นคัมภีร์ อะไรสักอย่าง
ดอกไม้ในสวน
อีกดอก
ไปต่อ เที่ยว Ali Ibn Hamza มัสยิด(ไม่ต้องไปหรอกนะอันนี้) ไปแทกซี่เหมือนเดิม จะบอกว่าแต่ละคน มีแปลกๆ คนละอย่าง
ผู้หญิงก็ต้องใส่ผ้าคลุมก่อนนะ ถึงจะเข้าไปได้ มัสยิด Ali Ibn Hamza
ด้านในเป็นแบบนี้ อลังการเชียว
มีธงปลิวไสว
ภาพมุมไกล ด้านหลังจะเป็นเทือกเขา
ผมแนะนำอันนี้ -Vakil Mosque ใหญ่มาก คุมเข้มการเข้า อลัการสวยนะ ไปแทกซี่อีกคน
ถึงแล้วประตูจะแยกชาย หญิง ซึ่ง ก็จะอยู่ใกล้ๆ ที่พักนั่นล่ะ เดินมาได้ไม่ไกลมาก แต่น่าจะมาตอนเข้าน่าจะดีนะ คนน้อย ตอนเย็นคนเยอะมาก
เขามาพักผ่อนกัน
ใหญ่มาก ตอนเราเดิน จะต้องมี จนท. เดินประกบตลอด
สถาปัตย์ของประตูจะคล้ายกันหมด อันนี้เหมือนที่ อิสฟาฮานเลย
นี่เป็นภาพไฮไลท์ ที่ลงตามเอกสารต่างๆ
แต่ก็ไม่ได้รอจนเปิดไฟ กลับก่อนเกรงใจ เจ๊ ต้องคอยตามตลอด
อาหารเย็นก็ยังคงเดิมๆ สำหรับวันนี้ ไม่ฟินเลย แล้วก็ไปนอน
14 เม.ย. 60 เช็คเอ๊า เหมารถ(230 us)ไปเมือง Yard เที่ยวระหว่างทาง ไม่ต้องย้อนกลับเข้าเมือง - Pink Mosque หรือ Nasir ol Molk Mosque มัสยิสสีชมพู - Persepolis เมืองโบราณ - ถึงเมือง Yard เข้าที่พัก Orient Hotel (ที่นี่ไม่โอเคน่ะ) ถึงเย็นมืดๆ - Kabir Jameh Mosque ติดที่พัก เริ่มกันที่ Pink Mosque หรือ Nasir ol Molk Mosque มัสยิสสีชมพู ไม่ใหญ่นะครับ นิยมมาเที่ยวกันตอนเช้าเพราะว่าแสงอาทิตย์จะส่งผ่านกระจกสี มาเวลาอื่นคงไม่เห็น
ซุ้มประตูทางเข้า
เข้ามาก็จะเจอสระน้ำตรงกลาง ปลูกต้นไม้ประดับสวยงาม เขาบอกว่ากระเบื้องสีลวดลายดอกไม้มีความอ่อนหวาน ด้วยสีชมพูเป็นหลัก จึงเป็นที่มีว่า สุเหร่าสีชมพู
สีชมพูเป็นหลักไหม ดูเอง
อีกมุมของด้านนอก ก่อนเข้าไปด้านใน
พอเข้ามาด้านใน พระอาทิตย์ก็สาดแสงผ่านกระจกสี เปลี่ยนสีพรมเป็นสีต่างๆ
ถ่ายได้เพียงรูปเดียว จากนั้น นักท่องเที่ยวก็มาเต็ม
เปลี่ยนมาถ่ายแบบครอบแทน
ถ้าจะรอให้โล่งคงยากนะ ควรมาแต่เช้าและรีบถ่าย ถ้าไม่อยากได้คน
ไปต่อที่ Persepolis เมืองโบราณ ไกลอยู่นั่งหลับหลายรอบกว่าจะถึง เขาบอกว่าเป็น ความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเปอร์เซีย ยุคอเคเมนิค
เขาให้ฝากกระเป๋านะครับไม่ให้เอาเข้า แต่ผมไม่รู้เรื่องเอาเข้าไปเฉยเลย ก็เลยถ่ายได้หลากหลายเลย เปอร์เซโพลิส ถูกออกแบบให้เป็นสัญลักษณ์สื่ออ่ำนาจของจักรวรรดิ สถาปนิคเปอร์เซียจึงเลือกผสมผสาน และหยิบยืมรูปแบบศิลปะจากอารยธรรมยุคก่อนหน้ามาไว้ในที่เดียวกัน โถงเสา ประตู ทางเข้า และรูปแกะสลัก ซึ่งทำให้ใหญ่เพราะว่า สะท้อนพระราชอำนาจของกษัตริย์แห่งเปอร์เซียแห่งราชวงศ์อเคเมนิด
ความล่มสลาย เขาบอกว่าตลอดเวลา 180 ปี นับจากพระเจ้าดาริอุสมหาราช เริ่มสร้างอาคารส่วนแรกเมื่อ 518 ปีก่อนคริสตกลาง จนถึงตอนที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทัพมาถึงในเดือน มกราคม 330 ปี ก่อนคริสตกาล นักประวัติศาสตร์บางส่วนเห็นว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเผาทำลายเปอร์เซโพลิส จนราบ เพื่อล้างแค้นที่กองทัพเปอร์เซียบุกไปทำลายวิหารพาร์เธนอนในเอเธนส์เมื่อ 480 ปีก่อนคริสตกาล บ้างก็ว่าพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชไม่นิยมเผ่าทำลายเมืองโบราณอื่นๆ ที่พระองค์ยึดครอง ส่วนเพลิงที่เผาเปอร์เซโพลิสให้วอดวาย น่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ ในคืนที่แม่ทัพนายกองกรีกเฉลิมฉลองชัยชนะ สรุป ก็ไม่รู้อยู่ดี
กู้ซากนครที่สาบสูญ ซากนครโบราณนี้ขุดอย่างเป็นระบบโดย Ermst Herzfeld แห่งสถาบันบูรพาศึกษามหาวิทยาลัยชิคาโก ในปี ค.ศ. 1931 เขาบอกว่าเมื่อก่อนเป็นเนินทรายขนาดใหญ่ คนอิหร่านจึงเรียกว่า Takht-e Jamshid "บัลลังก์ของจัมชิด" ตามชื่อวีรบุรุษในตำนาน
การเที่ยวที่นี้ต้องมีเวลาไม่น้อกว่า 2 ชม ที่สำคัญร้อนโครตควรเดินเที่ยวแบบทวนเข็มนาฬิกา เดียวผมจะเดินตามที่หนังสือแนะนำเลย 1. เดินเข้ามาก็จะเจอบันไดใหญ่ด้านตะวันตก สลักจากก้อนหินขนาดใหญ่ ทำเป็นขุ้นเตี้ยๆ ค่อยๆ เก้า จะได้แลดูสง่างาม ว่างั้น
2.ประตูแห่งปวงประชาชาติ(Gate of all Nations) ทางเข้าอันอลังการที่พระเจ้าเซอร์ซิสที่ 1(Xerxes I) โปรดให้สร้างขึ้นไว้ เพื่อรับคณะตัวแทนจากแว่นแคว้นต่างๆ
เป็นจุดถ่ายรูปสุดฮิตกันเลย
เกือบจินตนาการไม่ออกว่าของเดิมเป็นไง
ไม่น่ารักเลยอ่ะ
ถ่ายเดี่ยวตัวที่รายละเอียดเหลือเยอะที่สุด
3. พระราชวิังอปาดานา อาคารหลังใหญ่ที่สุด และเป็นหัวใจของกลุ่มพระราชวังเปอร์เซโพลิส อปาดาคือ สัญลักษณ์ อำนาจของจักรวรรดิเปอร์เซีย ทั้งยังเป็นท้องพระโรงที่พระเจ้าดาริอุสมหาราชเสด็จออกรับราชทูต เหลือแต่ตอ
มีทางเข้า 6 ทาง ส่วนกลางคือหมู่เสาศิลาขนาดยักษ์ แต่ละต้นูงถึง 20 เมตร หัวเสาสลักเป็นรูปโคคู่ เพื่อรองรับคานหลังคาซึ่งทำจากไม้สนซีดาร์จากเลบานอน (ตอนแรกนึกว่าหลังคาเป็นหินซะอีก)
หัวเสารูปโคคู่ดูออกไหม ตอบเลยว่า ไม่
4. พระราชวังของดาริอุส(Tachara Palace) เป็นตัวอย่างที่ประทับส่วนพระองค์ของกษัตริย์สมัยอเคเมนิดที่ใหญ่โตและคงสภาพดีที่สุด
อีกด้าน
แผ่นหินรอบลานส่วนกลางของอาคารถูกขัดจนขึ้นเงาและได้ฉายาว่า "โถงกระจก" บนกรอบประตูปรากฏภาสลักของพระเจ้าดาริอุสมหาราช กำลังต่อสู้กับสิงโต โค และอสูรกาย (ไม่รู้อยู่ตรงไหนนะ ไม่ได้ใช้ไกด์) เอาภาพนี้ไแทนละกัน
แต่มุมนี้ดูแล้ว ปราสาทหินพิมายชัดๆ
5 ไตรโพลอน(Tripylon) อาคารปริศนาใจกลางกลุ่มพระราชวังเชื่อมโยงโถงอปาดาเข้ากับพื้นที่ส่วนหลังอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของกษัตริย์ งงอ่ะ ไม่รู้อันไหน เอาภาพนี้ไปละกัน
6. พระราชวังฮาติซ และพรระาชวังเฮซ (Hadish Palace and H Place) ที่ประทับส่วนพระองค์ของพระเจ้าเซอร์ซิสที่ 1 และกษัตริย์ในยุคต่อมา เหลือแค่นี้ให้เห็น แล้วจะรู้ไหม
7. ภาพสลักบนบันได้านตะวันออกของอปาดานา(Carving on Eastern staircase of Apadana) ภาพสมบูรณ์ งานศิลป์ยุคอเคเมนิด
มีหลายแอคชั่นแต่ถ่ายมาบางส่วน
สวยดีนะ
ภาพสุดท้าย
8. ฮาเล็ม ไม่ได้เข้าไปดู 9. โถงร้อยเสา (Hall of 100 columns) อาคารขนาดใหญ่อันดับสองรองจาก อปาดานา มีโถงอาคารมหิมาพร้อมเสาสูงค้ำยัน สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าเซอร์ซิที่ 1 ไหนเสาอยู่ไหน
11 คลังสมบัติ(Treasury) เหลือเพียงฐานเสากว่า 200 ต้น และแนวกำแพงอิฐดิบ
11 สุสานของพรเจ้าอาร์ทาเซอร์ซิสที่ 2(Artaxrxes II) และพระเจ้าอาร์ทาเซอร์ซิสที่ 3(Artaxerxes III) (Royal tombs) อยู่บนหน้าผา เป็นจุดถ่ายวิวมุมสูงได้สวยเลยนะ
12. ประตูที่ยังสร้างไม่เสร็จ(Unfinished gate) ไม่ได้ไป หมดเวลา ก็เดินตามหนังสือน่ะ ไม่งั้น งงแย่ หมายเลขที่พิพม์ก็ตามแผนที่นี้นะครับ หรือไปดูในเล่มหนังสือ(แต่ต้องซื้อมานะ)
หมดเวลาแล้ว มุ่งหน้าสู่เมือง Yard ป่าข้างทางหามีไม่
งงว่า น้ำมาจากไหน ไม่มีน้ำแล้อาหารมาจากไหน อยู่ได้ยังไงเนี่ย
รถที่เราเหมากันเป็นลักษณะนี้นะครับ ก่อนทำการว่าจ้าง ต้องถามให้ดีก่อนนะครับว่ารถเป็นแบบไหน ก็ให้ รร.หาให้น่ะครับ
ทะเลทรายกว้างใหญ่ ขยะมากจากไหน เป็นคำถามที่ งง มาก ใครจะมาอยู่มาเที่ยว ถุงพลาสติกเยอะ สุดท้ายได้คำตอบ น่าจะเป็นลมนี่เองที่พามา
สมุติว่าไม่มี ถนน ไม่มีอะไรเลย ปิดตา แล้วมาปล่อยไว้คำถามคือ จะเดินไปทางไหนดี
เมือง Yazd มีหิมะตกนะครับ หมายถึงฤดูหนาวน่ะ ตอนไป ยังมีหิมะเกาะอยู่บนยอดเขาเลย กว่าจะมาถึงเมืองก็เย็นเข้าไปแระ ประมาณ 1 ทุ่ม ที่พัก Orient Hotel (ที่นี่ไม่โอเคน่ะ) แต่ทำเลดี อยู่ย่านเมืองเก่า เดินไปได้
เย็นแล้ว ก็เลยเดินเที่ยวมัสยิดที่อยู่ใกล้ๆ ที่พัก Jame Mosque of Yazd
ด้านในเป็นแบบนี้ ไม่สวยเหมือนด้านนอกเลย
ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำเสาสูงซะขนาดนั้น
เมือง Yazd เขาว่า นี่คือเมืองที่งามสง่า และการค้าเฟื่องฟูมาก ชาวเมืองมีอาชีพทอผ้าไหมชนิดพิเศษเรียกว่า ยาซดี ซึ่งเหล่าพ่อค้าจะขนย้ายไปขายตามที่ต่างๆ เมืองนี้ไม่มีน้ำใช้เองต้องเอามาจากเมือง อีสฟานฮาน ปีหนึ่งๆ จะมีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดคือ 2.4 นิ้ว แม่เจ้า ::) ภาพบนหลังคาร้านอาหารแห่งนึง
ตื่นเข้าไปสำรวจเมืองดูสิ ว่าเขาทำอะไรกันบ้าง การเดินถ่ายรูปตอนเช้านี่ดีจริงๆ คนหายหมด ชอบ
ฟ้าสดใส
เด็กๆ ไปโรงเรียน
ลวดลายเสาที่สูงๆ
แน่นอนร้านค้าปิดหมด ก็เลยเดินต่อไป มัสยิส Amir Charhmaq Mosque
ใกล้เวลานัดเพื่อน ก็เลยรีบๆ ถ่าย
ไม่ได้สำรวจอะไรมาก ตอนเย็นเปิดไฟ น่าจะสวยนะ
อาหารเช้าเสร็จก็ไปเดินเมืองเก่ากัน ก็เป็นอาคาร บ้านที่สร้างจากดิน สีแดง ซอยแคบๆ พอดีตัวรถ
เมือง Yazd เป็นประตูสู่ทะเลทราย ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใด ถ้าเดินอยู่ในเมืองไม่ถึง 5 นาทีรับรองว่าร่ายกายจะบอกทันทีว่ากำลังอยู่ในเขตทะเลทราย ร้อน แห้ง แสบผิวยิ่งนัก ในฤดูร้อน และหนาวกรีดเมื่อฤดูหนาวมาถึง Yazd จึงโดดเด่นเรื่องการรับมือจัดการกับธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้มาช่วยเสริมเต้มเต็มคุณภาพชีวิตชาวเมือง
เดินผ่าน บ้านเครื่องไม้ พี่เขาใจดีให้เข้าไปดูได้ อืม น่าสนใจนะ
ชอบอ่ะ
เครื่องมือที่ใช้ ฝุ่นนะจะเยอะนะ
เครื่องทุ่นแรงก็มี
เขาใจดี่กันนะ ไม่น่ากลัวเท่าที่คิด
เป็นธรรมดา ก็จะมีแต่ร้านขายของน่ะ
มัสยิด และหอมินาเรต ที่เมืองยาช์ด จะผอมเพรียวกว่าที่อื่น อาคารบ้านเรือนปลูกติดๆ กัน เพื่อให้ร่มเงา และกันลม หน้าต่างก็เล็กๆ ช่วยกัน ฝุ่นและควบคุมอุณหภูมิภายในบ้าน ด้วยความชาญฉลาดของหอดักลมที่ติดตั้งไว้แทบทุกบ้าน
ประตูบ้านจะมีที่เคาะสองแบบ ข้างที่ทำเป็นโลหะทรงเทอะทะ หนักแน่นเสียงดังกว่าเป็นของอาคันตุกะชาย ข้างที่บอบบางเสียงกังวาลเบาเป็นของฝ่ายหญิง
มอไซด์นี่ดูแล้วเหมือนยุคคุณพ่อ
เรือนไมค์นี่ใช่เลย
คุก ของ อเล็กซานเดอร์ ไม่ได้เข้าเสียตังค์อ่ะ
ก็ถ่ายด้านนอกมาให้ดูละกัน
ขอพี่แกถ่ายรูป
กระเป๋าอิหร่านสไตล์ หนังไม่รู้มีหนังอะไรบ้าง แพงอยู่เหมือนกัน
แนวหรูหรา บ้านเราก็คงเผ่าม้ง ละมั๊ง
มีพรมขาย ถ้าจะซื่อของที่นีน่าซื้อนะ มีลักษณะเฉพาะไม่เค่อยเหมือนที่อื่น
ไว้ทำอะไรไม่รู้
ช่วงบ่ายเราได้ซื้อทัวร์ โดยเริ่มที่ 15.00 น.กว่าจะครบทุกที่กลับมาถึงที่พัก ก็ปาเข้าไป 2 ทุ่ม แต่ละทีไกลกันมากกกก
ยังไม่ถึงเวลาไปเที่ยวต่ออีกนิด หอดักลม(Badgir) รูปร่างเหมือนเตาผิง ด้านบนเป็นซึ่ๆ เหมือนช่องลูกกรงนี้ คือองค์ประกอบหนึ่งของสถาปัตยกรรมเปอร์เซีย ทำหน้าที่เหมือนเครื่องปรับอากาศธรรมชาติ โดยมีหลักการง่ายๆ คือด้านที่เปิดปล่องจะทำหน้าที่จับกระแสลมให้ไหลลงมาที่ลานกลางบ้าน ลมที่ถูกดักนี้จะพัดผ่านน้ำพุหนือบ่อน้ำด้านล่าง ช่วยให้อุณหภูมิของห้องเย็นลง
ทีเห็นเดาว่าเป็นที่ขังนักโทษ ไม่แน่ใจนะ
อุโมงน้ำใต้ดิน (Qanat) ระบบกานาต คือ ระบบจัดการน้ำ เป็นการน้ำน้ำใต้ดินมาใช้โดยไม่ต้องใช้ปั๊มแต่อย่างใดน จากจุดตั้งต้น คือ แหล่งน้ำใต้ดินที่มีตาน้ำอยู่ระหว่างชั้นของหินใกล้ผิวหน้าดิน ซึ่งต้องอยู่บนจุดที่สูงกว่าปลายทางที่จะรับน้ำ น้ำจะไหลผ่านอุโมงค์ใต้ดินที่ลาดเอียงด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ระหว่างทางก็จะมีการขุดหลุมเป็นระยะๆ เพื่อเอาดินที่ขุดมาจากข้างใต้ และเป็นปล่องช่วยระบายอากาศ เนินดินกลมๆ ที่เห็นเป็นแนวยาวกลางทะเลทรายคือปล่องที่ว่านี้( งง เหมือนกัน) ชาวเปอร์เซียคิดทำอุโมงค์ด้วยวิธีนี้เมื่อ 2700 ปีที่แล้ว ทั่วอิหร่านมีระบบนี้จนำวน 50000 แห่ง จาการสำรวจปี 2015 ยังมีใช้ได้ 37000 แห่ง เขาบอกว่าที่มีเยอะขนาดนี้เพราะว่า รัฐจะยกเว้นภาษีไป 5 ชั่วรุ่น ถ้าใครสร้างกานาตช่วยรัฐ หรือซ่อมให้มันกลับมาใช้ใหม่ได้
สัญลักษณ์อีกอย่างคือ ฟาวาซี(Fravashi) เป็นเครื่องหมายประจำศาสนาที่คอยย้ำเตือนให้ดำรงค์ชีวิตตามหลักศาสนา ยึดมั่นในความดีผ่านการทำดี คิดดี พูดดี ฟาราวาซี สัญลักษณ์ของเทพผู้คุ้มครอง ส่วนศรีษะหมายถึงความมีปัญญาที่จะเอาชนดต่อสิ่งชั่วร้าย มือขวาที่ชี้ขึ้นไปเบื้องหน้าคือความนับถือในพระพุทธเจ้าอหุรมาซดา ห่วงกลมในมือซ้ายคือความเป็นเอกภาพ ห่วงใหญ่ตรงกลางคือความจริงที่สะท้อนการกระทำของมนุษย์ขนนกที่ปีกคือความบริสุทธิ์ของมโนกรรม วจีกรรม และกายกรรม ส่วนภาพนี้ถ่ายจาก เปอร์เซโพลิส
สัญลักษณ์ที่ชัดๆ จะอยู่ที่วิหารแห่งไฟ(Temple of Fire) ได้เวลานัดแระ ต้องไปต่อ ทัวร์ครึ่งวันนี้ประกอบไปด้วย - Kharanaq - Chak Chak - Narin Qal'eh - Meybod - Shah Abbasi Caravanserai - Yakhvhal or Ice House เริ่มต้นที่ Kharanaq
มุมมีที่เห็นในโพสการ์ด น่าจะเป็นสะพานข้ามน้ำที่อยุ่ข้างล่าง
บ้านดิน เดินๆ ไปนี่กลัวทรุดไปอยู่ข้างล่างเลย แต่มันแข็งแรงกว่าที่คิด
เสาโด่งๆ ไม่รู้ว่าไว้ทำไร
อีกภาพละกัน
ต่อไปเราจะไป Chak Chak สถานทีศักดิ์สิทธิ์ตามลัทธิ Zoroastrian ตั้งกลางหุบเขาสูง
ที่นีมีแหล่งน้ำปริศนาผุดจากภูเขาอันแห้งแล้ง นั่นเป็นความเชื่อต่อเทพเจ้าของผู้คนก่อนเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม "ชัก ชัก" เป็นเสียงน้ำหยดที่ผ่านไปหลายพันปีก็ไม่เหือดแห้ง
เสียตังค์อ่ะ ถ้าจะไปดูน้ำหยด แต่คาดว่าอยู่ตรงต้นไม้ขึ้นเขียวๆ แต่ก็น่าแปลกนะบนภูเขาสูง แถมฝนตกน้อยมาก ตาน้ำมีได้อย่างไร
ภาพวิวมุมมองด้านบน
ไปต่อปราสาทนาริน(Narin Qal'eh) เขาว่าอาจจะเป็นปราสาทที่เก่าแก่ที่สุดในอิหร่าน ประมาณ 2000 ปี
มีป้อมปราการที่มีหอรบ
มีปะรำยกพื้นที่ระดับสูง 40 ม. สูงพอให้เฝ้าสังเกตุข้าศึกรัศมีกว้างไกล
ทางเดินในตัวปราสาท
วิวด้านข้างตัวปราสาท เป็นเมืองเก่า Meybod อายุมากกว่า 7000 ปี
เรามาถึงตอนพระอาทิตย์ตกพอดีเลย
นักโบราณคดีพบว่ามีการเอาอิฐจากยุคมีดิส และอเคเมนิดมาก่อสร้างป้อมนารินด้วย
ไปต่อที่พักกลางทางของคาราวานค้าขาย(Shah Abbasi Caravanserai) เปิดเป็นร้านขายสินค้าพื้นเมือง
มาเย็นไปหน่อยร้านปิดหมด
หอดักลมด้านล้างมีระบบกานาต
ตรงข้ามจะมีโรงเก็บน้ำแข็ง(Yakhchal) หลังคาเป็นรูปโดม หลักกการคือใช้ผนังหนาเป็นพิเศษซึ่งสร้างด้วยอิธและส่วนผสมอื่นๆ แทนฉนวน กันความร้อนไม่ให้เข้ามา ด้านในเป็นแอ่งสำหรับสะสมน้ำแข็ง ที่จะถูกเก็บเอาไว้เป็นชั้นให้ผู้คนในชุมชนรอบๆ เข้ามาตักน้ำแข็งไปดับร้อนกลางทะเลทรายมาเกือบ 2400 ปีแล้ว ผนังมีความหนา 2 ม. ไม่ได้เข้า มืดแล้ว และสุดท้ายไปหอนกพิราบ เสียตังค์ไม่ได้เข้าเหมือนกัน ไม่น่าจะมีอะไร เดาเอา นะ
จบไปอีกวัน นอนๆๆ 16 เม.ย. 60 เดินทางไปเมือง Esfahan ด้วยรถประจำทาง ขึ้นตอน 10.45 น. - ถึง Esfahan ประมาณ 14.00 น. - เข้าที่ัพัก Amir Kabir Hoste ที่นี่บริการดีนะ แต่อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง - Naqsh-e Jahan ซึ่งจะมีมัสยิดรอบๆ - Ali Qapu Palace พระราชวัง - Pol-e Khaju สะพานข้ามลำน้ำ Zayade การเดินทางจาก Yazd ไป Esfahan เลือกใช้บริการรถประจำทางไปขึ้นที่ Khear Abad Terninal หรือใน google ค้นคำว่า Yazd ฺBus Terminal ซึ่งมีรถออกทุกชั่วโมงไม่ต้องจองก็ได้
ใหญ่โตนะ
ข้างในก็โอ่โถง นิยมมีสระน้ำไว้ตรงกลางจริงๆ ทุกที่
มันเป็นภาษาอังกฤษใช่ไหม
ปลั๊กไฟ และตู้ ATM
ร้านค้า ด้านใน เป็นที่ได้ MP3 ก๊อบปี้มาล่ะ(ร้านติดกับร้านขายขนม)
ได้แต่รอ ระยะทางประมาณ 260 กม. วิ่ง 3 ชม
ถึงเวลาแล้ววว โกๆๆ
ถึงที่พักบ่าย 2 ที่พักเราที่นี่นะ บริการดีแต่เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง
ถ้าจะติดต่อก็ตามนี้ะ อยู่ห่างจาก จตุรัส Naqsh-e Jahan ประมาณ โลกว่าๆ แต่ก็พอเดินได้ไม่ร้อน
พอมีเวลาก็เลยเดินไปจัตรัสกัน ช๊อป หาไรกิน ชิวๆ
จัตุรัส Naqsh-e Jahan เป็นชุมนุมยอดสถาปัตยแห่งโลกอิสลาม "รูปแบบแห่งโลก" ของพระเจ้าอับบาสมหาราช
จัตุรัสมีขนาด 510x163 ม. มีขนาดใหญ่เป็นที่ 2 ของโลกรองเพียงจัตุรัสเทียนอันเหมินที่ปักกิ่ง รอบๆ จัตุรัสจะมีมัสยิด กับพระราชวังอาลีคาปู โถงประตูเข้าสู่บาซาร์ คือ ตัวแทนอำนาจ 3 ฝ่าย ผู้ปกครอง ศาสนา และพ่อค้า
ช่วงเย็นๆ ชาวอิสฟาฮานชอบมาเดินเล่น หากต้องการถ่ายรูปไม่มีคนต้องมาตอนเช้า
อันดับแรกจะพาไป พระราชวัง อาลีคาปู(Ali Qapu Palace) ค่าเข้า 200 บาท
พระราชวังอาลีคาปู หรือ "ประตูแห่งอาลี" ได้ชื่อตามอิหม่ามคนแรกของนิยากยซีอะห์ เป็นอาคารสูงเกือบ 50 ม. เป็นพลับพลาให้กษัตริย์ ขุนนาง และราชทูต เผ้าดูความเป็นไปในจัตุรัส
โถงพระราชวังชั้นบน จะมีภาพวาดฝาผนังฝีมือ อาลีเรซา อับบาสิ ปรมาจารย์ด้านจิตรกรรมของอิหร่าน
ชั้นบนสุด คือห้องแสดงดนตรีอันโด่งดัง เป็นหลังคาเก็บเสียงสะท้อน และสร้างอะคูสติกที่เหมาะกับการฟังดนตรีมากที่สุด ห้ามใช้ขาตั้งกล้องนะครับ
แปลกดีเหมือนกัน บนผนังก็จะมีลวดลายต่างๆ
ลงมาชั้นล่างสุด มาถ่ายโดม
มุมมองด้านบนจากระเบียง ของพระราชวัง
หมดเวลา พรุ่งนี้มาใหม่แต่เช้า อีกรอบ ยังเที่ยวไม่หมด คร้งนี้ออกมาตีห้า ครึ่ง เงียบทีเดียวเชียว ร้านขายแป้งเปิดแระ เปรียบเทียบกับบ้านเราก็คงเป็นร้านขายข้าวสวยน่ะ
ถ้าไม่อยากเจอใครให้มาแต่เช้าๆๆ ถ่ายรูปสนุก ตั้งกล้องถ่ายสบายๆ
ภาพรอบๆ
อีกภาพ
ไปเริ่มกันที่ มัสยิดอิหม่าม หรือมัสยิดหลวง(Masjed-e Imam/ Masjed-e Shah) เป็นตัวแทนสถาปัตยกรรมทางศาสนาของอิหร่านยุค ซาฟาวิค สร้างเมื่อ ค.ศ. 1611 เสามินาเรตสูงกว่า 40 ม.
เมื่อยืนอยู่หน้ามัสยิส แล้วมองออกไปที่ลาน บอกแล้วว่าไม่มีคน
กว่าจะเปิด ก็ 09.00 น. เข้าไปก่อนถ่ายก่อน ไม่มีคน ลุยๆๆๆ ประตูทางเข้า
ยังติดใจซุ้มประตูอยู่ เขาบอกว่าคนออกแบบ ชื่อ อาลี อัคบาร์ ฮิสฟาฮานี สถาปนิกหลวง
ซูมเข้าไปอีกนิด
อีกนิด ซุ้มประตูรังผึ้งประดับโมเสก และการฝังลายกระเบื้องที่มีสีเทอร์ควอยส์ และสีน้ำเงินเป็นตัวคุมโทน เทคนิคฝังลายแบบนี้เรียกว่า moraq
เมื่อแหงนหน้าถ่าย
โดมขนาดยักษ์มี เส้นผ่าศูนย์กลาง 21 ม. มีโครงสร้างเป็นโดม 2 ชั้น เพื่อช่วยรับน้ำหนักให้โดมตั้งอยู่ได้ โดมด้านนอกที่สูง 52 ม. ดูสูงชันได้สัดส่วนคล้ายหัวหอม ส่วนโดมด้านในเป็นทางโค้งครึ่งวงกลมที่สูงจากพื้นเพียง 38 ม. (ทีมีนั่งร้านนะครับ)
ไปเข้าไปด้านในกัน พระเจ้าอับบาสมหาราชพอพระทัยในส่วนนี้มาก และอยากให้สร้่างเสร็จเร็วๆ จึงให้นายช่างพัฒนากระเบื้องเขียนลายที่ผลิตได้คราวละมากๆ หรือ haft rangi ที่แปลว่า 7 สี เพื่อช่วยให้งานเสร็จเร็วขึ้น ก่อนพระเจ้าอับบาสมหาราชสวรรคต เทคนิค moraq ได้ถูกนำมาใช้ที่ ชิราช คาซาน และเตหะราน และสงวนเทคนิค moraq เอาไว้ใช้กับพื้นที่สำคัญมากๆ เช่น โถง ทางเข้า มิหราบ หรือยอดโดมที่มีมุสชันเท่านั้น
เข้ามาด้านในจะเป็นลานกว้างเสียดายกำลังปรับปรุง(แล้วจะเปิดให้เข้าทำไมเนี่ย)
โถงขนาดใหญ่
แอบไปหลังบ้านมาไม่เห็นประดับไรเล๊ย
จุดน่าสนใจอีกจุดคือโดมขนาดใหญ่ สถาปนิคได้ออกแบบระบบเสียงก้อง เพื่อช่วยให้ผู้เข้าร่วมพิธีฟังเสียงเทศน์ของผู้น้ำศาสนาได้อย่างชัดเจน ก็มีคนมายืนตรงกลางแล้วทดลองหลายคน อืม ได้ยินชัดเจนจริงๆ ฟิตอายถึงเก็บหมด
อีกมุม
ลองใช้ฟิตอายถ่ายซุ้มประตูด้านนอก แปลกดีเหมือนกัน
ไปต่อที่ มัสยิด ซีคลอตฟุลเลาะห์(Masjed-e Sheikh Lotfollah) อยู่ใกล้ๆ กัน อ้อลืมบอกค่าเข้าแต่ละที่ 200 บาท ทุกที่รอบจัตุรัส
มัสยิดนี้มีขนาดเล็กกว่ามัสยิดหลวงมาก ถูกออกแบบมาให้สมดุลกับพระราชวังอาลีคาปู ที่อยู่ตรงข้าม
มัสยิสนี้ถูกโหวตให้เป็นสถาปัตยกรรมทางศาสนาที่งามจับใจที่สุดของอิหร่าน เขาบอกว่าจัดแสงเข้าอาคารได้ดี การหักมุมทางเดินเพื่อปรับแกนอาคารเข้ากับทิศที่หันสู่นครมักกะฮ์ อืมน่าคิด
เข้ามาแล้วก็จะเจอโถงขนาดใหญ่เลย อืม สวยจริง
แหงนหน้ามองเพดาน
พยายามหามุมแปลกๆ
หิวข้าวๆ แถวๆ นี้ไม่มีร้านข้าวเลย เดินออกจากจัตุรัสสักพัก ไม่ไหวเว้ยเห้ย ต้องถาม ร้านขายของมีร้านข้าวไหม เขาบอกว่าอยุ่ในซอย และก็เดินพาไปส่งที่ร้าน แถมสั่งอาหารให้ด้วย เพราะคนขายพูดอังกฤษไม่ได้ ถามว่ากินหมดไหม ไม่เหลือครับ
แต่สังสัยมากๆๆ หลายร้านแระ ทำไมไม่แกะพลาสติกออกกก ???
ไปต่อกันที่มัสยิดวันศุกร์(Masjed-e Jameh) ชื่อเหมือนๆ กันน่ะ อันนี้ต้องนั่งแทกซี่ไป ไกลอยู่ เขาบอกว่าเป็นมัศยิดขนาดมหึมาครอบคลุมพื้นที่กว่า 20,000 ตร.ม. และมีหลังคาโดมน้อยใหญ่มากกว่า 470 แห่ง ใหญ่กว่ามัสยิดหลวงอีกนะเออ
มัสยิดนี้สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 771 เคยถูกไฟไหม้ เสียหายเมื่อ ค.ศ. 1121
เขาบอกว่ามัสยิดนี้ผ่านผู้คนหลายหลายชนชาติที่เข้ามาครอบครองอิหร่าน จึงมีการเพิ่มเติมส่วนๆ ต่างๆ ตามรสนิยม
ใหญ่ไหม
ไปเที่ยวต่อ โบสถ์แวงก์ Vank Cathedral and Jolfa
ดูหรูหราน่ะ ย่านนี้ ทางเข้า
หอนาฬิการะบุว่า มาจาก SAB Bangkok
โบสถ์คริส อยู่ในโดนทรงมัสยิดหลังนี้ เอาให้แน่..
ตอนที่พระจ้าอับบาสมหาราชให้ย้ายเมืองหลวงจาก แกซวินมาที่อิสฟาฮาน พระองค์จัดการเทครัวชุมชนอาร์เมเนียจากเมืองโจลฟา(Jolfa) ให้มาตึ้งถิ่นฐานทางด้านใต้ของแม่น้ำซายันเดในอิสฟาฮาน โดยยอมให้สร้างโบสถ์คริสต์ และปฏิบัติกิจทาศาสนาได้โดยเสรี
ห้ามใช้ขาตั้งกล้องนะครับ รีบเดินมาบอกเลยทีเดียว
นักประวัติศาสตร์ยังเชื่อว่า พระเจ้าอับบาสมหาราชต้องการบ่อนเซาะความมั่งคั่งของจักรวรรดิออตโตมันที่เป็นคู่แข่ง จึงจูงใจให้ชาวอาร์มาเนียมาทำการค้าที่อิสฟาฮาน
ย่านชุมชนอาร์เมเนีย ในอิสฟาฮานยังถูกเรียกว่าย่าน โจลฟา หรือ จุลฟา
อีกอาคารเป็นพิพิธภันฑ์
ก็ดุไปเรื่อย ไม่อินน่ะ คงไม่เคยชิน
แต่ชอบเครื่องนี้เครื่องพิมพ์
ไปต่อกันที่สะพาน 33 โค้ง (Pol-e Si-o-She)(ฟ้าปิดเซ็ง)
เขาพักผ่อนกันเยอะเลย
สร้างสมัย 1500 ปีที่แล้ว
สะพาน 33 โค้งเป็นสะพานแห่งแรกที่สร้างสมัยพระเจ้าอับบาสมหาราชเมื่อ ค.ศ. 1602 โดยมีขุนนางชื่อ อัลวาห์เวอร์ดิข่าน(Allahverdi Khan) คุมงาน สะพานยาว 300 ม.
อีกภาพ
ส่วนอีกสะพานคาจู(Pol-e Khaju) สะพานข้ามลำน้ำ Zayade จริงไปเที่ยวเมื่อวาน แต่เรียงภาพผิด แฮร่ๆๆ
สะพานคาจู ได้รับยอกย่องว่ามีสัดส่วนลงตัวที่สุด ชื่อสะพานแผลงมาจากคำว่า "คาเจห์" ที่แปลว่าขุนนาง เพราะแถบนี้เคยมีบ้านขุนนางเรียงราย
สะพานคาจู ยาว 132 ม. และถูกออกแบบให้เป็นเขื่อนควบคุมระดับน้ำ มีประตูระบายน้ำเพื่อเปิด-ปิดได้ ตามต้องการ ตรงกลางสะพานมีประดับภาพวาดและกระเบื้องเคลือบ ให้กษัตริย์เสด็จประทับและชื่นชมทัศนียภาพของสายน้ำอีกด้วย
ตรงกลางเป็นทางเดินข้ามของกองคาราวาน
อีกภาพ
น้ำทีรอระบาย เอ๊ย ถูกระบาย
หมดรอบบบ ไปนอน 18 เม.ย. 60 - พัก Esfahan อีกคืน ตืนเช้าเดินทางไปเมือง Kashan ด้วยรถประจำทาง ประมาณ 3 ชม. (พักที่ Ehan Historic house ที่พักโอเค) สถานีรถบัสเงียบมาก มาดูมอไซด์รุ่นพ่อ อีกที
ไปต่อรองแทกซี่
ในรถแทกซี่ สะดุดตรงกลอ่งทิชชู่ มีทับทิมติดด้วย เก๋ เชียว แต่หาซื้อ ไม่เจอแฮะ
เมืองคาซานเป็นเมืองเล็กกลางทะเลทราย มีทีเที่ยวมรดกโลกถึง 2 แห่ง แม้จะมีตัวเลือกที่พักร้านอาหารไม่มาก แต่ก็เป็นระดับท๊อปทั้งสิ้น ถึงแระที่พัก
ทางเข้า
โบชัวของ โรงแรม แนะนำนะที่นี่
แผนที่
หลักฐานทางแหล่งโบราณคดี เทเปซิอัก(Tepe Sialk) มีชุมชนคาชานมาแล้วไม่น้อยกว่า 7000 ปี แต่มีกล่าวถึงคาซานในสมัยราชวงศ์อเคเมนิดเมื่อ 2500 ปีที่แล้ว คาซานเติบโตเป็นเมืองสำคัญ ก่อนจะเสื่อมสลายลงอย่างฉับพลัน เพราะการรุกรานของชาวอาหรับ และภัยพิบัติ แผ่นดินไหว แต่ก็ยังยิ้มได้
คาซานเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตผ้าทอมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์เซลจุก ทุกวันนี้ก็ยังครองตำแหน่งอยู่
ตอนนี้ก็ได้เวลาเที่ยงต้องหาที่กินก่อน Tearoom and a traditional restaurant Abbasi มีที่เดียวละมั๊งที่ให้กินได้
ที่เที่ยวก็อยู่ใกล้ๆ กันนะครับ ถ่ายรูปสนุกดี เราจะไปกัน 4 ที่ - Abbasian Historical House - Sultan Amir Ahmad Bathhouse - Borujerdi Historical House Tabatabaei Historical House อีกจุด เป็นร้านอาหารนะครับ
ไปที่แรก Abbasian Historical House แถบนี้จะเป็นทีพักของคหบดีพ่อค้าวานิชแห่งเมืองคาชาน คฤหาสห์ปลูกสร้างตามสมัยนิยมในคริสต์ศตวรรษที่ 19 พวกนี้มีผังอาคารแบบเดียวกัน คือสร้างเป็นหลังใหญ่โอบล้อมสวนตรงกลางคฤหาสน์
ทำไมไม่มีเจ้าของ หรือว่ารัฐบาลยึดหมดแล้ว
ออกแบบสวยดีนะ มีลวดลายเต็ม ห้องเล็กห้องน้อย
ลวดลายปูนปั้น
บนเพดานยังมีลวดลายเลยนะ
ตรงกลางก็นิยมมีสระน้ำ เขาบอกว่ามันช่วยทำให้เย็นขึ้น
และก็คงนิยมประดับด้วยกระจกสี
เพดานแปลกดี
ไปกันต่อที่อาบน้ำสุลต่าน Sultan Amir Ahmad Bathhouse อ้อลืมบอกไปเขามีตั๋วแบบว่าเหมาเข้าอะไรงี้ แต่พอมาที่นี่ ไม่รวมจ้า เก็บต่างหาก ???
คาชานขึ้นชื่ออีกเรื่อง คือ เรื่องน้ำกุหลาบ(rose water) มีทั้งใช้ปรุงอาหาร ทำขนมหวาน และน้ำหอม เขาบอกว่าน้ำหอมนี่ กลั่นตามหลักการที่อวิเชนนา(Avicenna) จอมปราชญ์ด้านการแพทย์และปรัชญาที่โดดเด่นที่สุดคนนึง ของอิหร่านพัฒนาขึ้นตั้งแต่ 1000 ปีที่แล้ว น้ำกุหลาบภาษาฟาร์ซี ว่า "โกหลับ (Golab)" อันเป็นที่มาของคำว่า "กุหลาบ" ในภาษาไทย :o :o :o จึงไม่แปลกที่จะเห็นผลิตภัณฑ์กุหลาบ ขายอยู่ทั่วไป ซื้อน้ำหอมมาลอง ก็หอมดีนะ
ไปต่อเข้าไปด้านในดีกว่า เจอนี่ก่อนเลย ไม่รู้ว่าทำไร แต่เขาเรียกว่า Stone Trough Drink เหมือนโอ่งดินไว้ใส่น้ำบ้านเราไหม แล้วมีกระบวยตักกิน
ด้านใน อลังการนะเนี่ย
โชคดีที่ทัวร์ยังไม่ลง โล่งๆ
อาบไงเนี่ย แค่คนเดียว
น่าจะเป็นซาว์ดน่าเหมาะกว่าไหม
ด้านบนหลังคาเป็นแบบนี้
ไว้ดึงน้ไหม ไม่รู้เหมือนกัน
ไปต่อ Borujerdi Historical House สร้างโดยพ่อค้าหนุ่ม เพื่อพิสูจน์ให้ Seyyed Borujerdi Tabatabei เห็นว่าเขามีทั้งความมั่งคั่งและความตั้งใจจริง ใช้เวลาสร้างถึง 18 ปี
หลังคาสวยดี
ดูๆ เหมือนบ้านคนจีนสมัยก่อนนะ จะมีลานกว้างๆ กลางบ้านแต่คนจีนไม่มีสระน้ำ
ลวดลายปุนปั้นก็คล้ายๆ กันที่อื่น
ด้านใน
สวนด้านข้างอาคาร
หมดแระ ภาพสุดท้าย เหนื่อยอ่ะ เมื่อยขี้เกีขจถ่ายแล้ว
ที่สุดท้ายวันนี้ Tabatabaei Historical House เจ้าของคือ Seyyed Jafar Tabatabaei เป็นพ่อค้าพรม
ก็คล้ายๆ กันนะ
มีดอกไม้ทำให้ดูมีชิวิตชีวา
สวยอ่ะ
ลงไปด้านล่าง หอดักลม เย็นมากๆ
ลวดลายปูนปั้น
อิ่มแระกลับที่พักได้ เขาบอกว่าให้ลองกินอันนี้ เหมือนข้าวพอง บ้านเรา แต่ก้ไม่ได้ลองนะ
โรงแรมเป็นไง
วิวด้านบนหลังคาโรงแรม มองไม่เห็นอะไรเลยไช่ม้าาา ขึ้นมาทำไม
จบวันนี้ พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวต่อ 19 เม.ย. 60 พักอีกคืน ที่ kashan - Aqa Bozorg Mosque - Fin garden - Abyaneh - Salt Lake - Maranjab Desert ดูพระอาทิตย์ตก บางคนไปดูขึ้น - พักกลางทะเลทราบเป็น Caravasaral (มีน้ำอุ่นอาบนะ แต่ที่นอนไม่สบายเท่าไรแมลงวันเยอะ) ตอนเช้ามาเที่ยวมัสยิดใกล้ๆ ที่พัก ใหญ่เหมือนกันนะ เดี๋ยวหาชื่ออังกฤษก่อนนะ เจอแระชื่อ Aqa Bozorg Mosque
ใหญ่ทีเดียวนะครับ
พบเด็กหนุ่ม ค่อยๆ ทยอยกันออกมา แต่ตัวแบบแขกเดาว่าน่าจะมียูนิฟอร์นักเรียนป่าวไม่รู้นะ ทยอยออกจามัสยิดไป มีที่ตั้งๆ อยู่ด้านหน้าที่ประดับด้วยกระจก เอาว่าน่าจะใช้ร่วมกับงานศพหรือป่าวนะ
ต่อไปจะไปเที่ยวนอกเมืองล่ะ เราได้ซื้อทัวร์ ไป Fin garden or Bagh-e Fin แนะนำให้เดินออกจาก โรงแรม มาซื้อทัวร์ด้านนอกนะ ไม่ต้องซื้อผ่านโรงแรมหรอก โดนชาร์ท
แทกซี่เรา เหมือนรถซิ่งไหม
พี่แกขับเร็วมากๆ 140-150 กม/ชม ในพริบตาก็มาถึง ซื้อตั๋วก่อนนะ ด้านในมีต้นไม้เพียบ(คือเที่ยบกับด้านนอกที่เป็นทะเลทรายนะ)
เด็กมาทัศนะศึกษากันเยอะเลย
ถ่ายรูปหลบคนคงไม่ได้ล่ะ
มีน้ำดื่มได้ด้วยนะ
เรารู้สึกว่า มันก็ธรรมดา แต่บ้านเขาคงตื่นเต้นเพราะต้นไม้เยอะ แต่จริงๆ เรารู้สึกไม่เยอะนะ แต่ถ้าเทียบกับภูมิประเทศแห้งแล้งก็เยอะเลยทีเดียว สวนฟิน ปัจจุบันได้ถูกสนร้างขึ้นเพื่อเป็นตำหนักสำหรับพระเจ้าอับบาสมหาราช เวลาเสด็จมาประทับที่คาชาน สร้างตามหลักของสวนเปอร์เซียทั่วไป
มีแปลงดอกไม้
สวนฟิน จะใช้น้ำเป็นแกนกลางแบ่งสวนออกเป็น 4 ส่วน ตรงกลางที่เป็นจุดตัดของสวนคือที่ตั้งพระราชวังกลางน้ำ ด้านหลังมีศาลาชมสวนสำหรับมเหสีของพระองค์
เราเดินกันแค่ ประมาณ 1 ชม แล้วไป ต่อที่ Abyaneh ด้วยรถความเร็วสูง
ด้านหลังลุงตีนผีของเรา
เราได้แวะถ่ายรูปที่นี่ก่อนถึงเขาบอกว่าเป็นอะไร จำไม่ได้แล้ว แทกซี่แนะนำ
และก็มาเห็นรู ถามว่าถ้ำเหรอ เขาบอกว่าให้สัตว์เข้าไปหลบหนาวน่ะ ที่นี่มีหิมะตกนะ
ก่อนเข้ามีด่านเก็บตังค์ ไกลเลยทีเดียว แต่ก็มีคู่มือแจก ก็โอเค สมราคาดี โหลดลิงค์ด้านล่างนะครับ http://hikingthai.com/Download/Iran/Abyaheh_Iran.pdf (http://hikingthai.com/Download/Iran/Abyaheh_Iran.pdf)
ถึงแล้วก็เดินเที่ยวเลย หมู่บ้านบนไหล่เขา Abyaneh เรียกว่า สวยมีเสน่ห์ บ้านเป็นดินสีแดง เมื่อพันปีก่อน ชาวแบคเทรีย เดินทางข้ามภูเขาเพื่อหาแหล่งน้ำ จนพากันมาตั้งถิ่งฐานอยู่ในหุบเขาอันอุดมสมบูรณ์และสวยงามแห่งนี้ เกิดเป็นชุมชนที่มีชื่อตามที่มาว่า อะบียาเนห์ ซึ่งแปลว่า ตามหาน้ำ
ผู้อาศัยในหมู่บ้านจะอยู่ร่วมกันระหว่างชาวบ้านที่นับถือศาสนาอิสลาม และชาวบ้านโชโรอัสเตรียนที่นับถือลัทธิบูชาไฟ มีจุดสังเกตุง่ายที่ประตูบ้าน ถ้ามีเหล็กเคาะชายหญิงแยกกัน คือชาวบ้านอิสลาม ถ้าบ้านไหนมีเหล็กเคาะอันเดียวก็เป็นชาวบ้าน โชโรอัสเตรียน
หมู่บ้านจะเงียบ ผู้ชายจะออกไปทำไร่ เลี้ยงแกะ หนุ่มสาวไปทำงานในเมืองใหญ่ มีแต่ผู้หญิ่งสูงวัยที่นั่งทำงานอยู่ที่บ้าน
เขาแนะนำให้นอนนะ แต่ไม่นอน ;D ที่นี้บริการนั่งรถเที่ยว ขับวนไปบนภูเขาถ่ายรูป แต่ไม่ได้ใช้บริการเพื่อนที่ไปด้วยกันใช้ บอกว่าเร่งมากถ่ายรูปแทบจะไม่ได้ อีกทั้งเส้นทางก็โหดด้วย แต่ผมเดินเอา แต่ก็เหนื่อยหน่อยนะเพราะเร่งเวลา หากไม่เร่งคงไม่เป็นไร ผมเลือกไปหามุมที่เขาถ่ายๆ กัน จึงต้องเดินออกจากหมู่บ้านขึ้นเขาไป
จุดหมายปลายทางด้านบนนั่นล่ะ
ระหว่างทางก็ถ่ายไปเรื่อย จะเห็นว่ามีซุ้มประตูมุดไปใต้ดิน จะเหมือนที่แทกซี่บอกไหมว่าให้สัตว์เข้าอยู่ช่วงฤดูหนาว
แต่ก็ใหญ่อยู่นะ เหมือนคนอยู่ไหม
ด้านบนเป็นกำแพง น่าจะเป็นป้อมไว้ดูข้าศึกไหม เดาเอานะ
มุมมองจากบนยอดเขา
ลมแรง + ทราย ถ่ายรูปยากมาก ขาตั้งกล้องนี่สั่นมาก ต้องใช้ยืนถ่ายเอา
แล้วก็ลงมาถ่ายในหมู่บ้าน
ก๊อกน้ำสาธารณะ
สภาพบ้าเรือนเป็นแบบนี้
อีกภาพ
ออกมาเจอลุง เขาผลไม้ชื่อ อะลู ลองซื้อกิน เปรี้ยวมาก แต่เปรี้ยวแบบอร่อยบอกไม่ถูกหากไปลองซื้อกินดูนะ
เรามีนัดบ่าย 3 ต้องไปทะเลทรายกันต่อ คืนนี้เราจะไปนอนทะเลทรายยยยย ดูรถพาเราเที่ยวสิ โชคก็ตาย แข็งกระด้างไปหมด ไม่เหมือนเมื่อตอนเช้าเลย
ภายในห้องโดยสารหรูไหม
ก่อนถึงเป้าหมาย เราก็แวะเที่ยวนี่ก่อนนะ ที่เมือง Nooshabad เรียกไรไม่รู้จำไม่ได้แระ
ร้อนมาก เหมือนสนามบอลเลย
เอ๊าอีกสักรูป ร้อนๆ
ไปแวะต่อมัสยิด Mohammed Helal Shrine ที่เมือง Aran va Bidgol สวยแปลกดีเหมือนกัน ทางผ่านเหมือนกัน
คนหมดวัย ก็มารวมตัวกันที่นี่
ที่เห็นภาพตั้งๆ หลุมศพนะ คิดว่า มีภาพบนพื้นด้วย
แวะหาซื้อขอไว้กินไม่ไว้ใจทะเลทรายกลัวอด
ก่อนถึงทะเลทรายยังมีที่ให้แวะอีก Salt Lake ใหญ่จริงๆ ระหว่างทางเจอนี่ด้วย หยุดรถถ่าย ลมแรงมาก รวมกับทราย
สีฟ้าๆ ในแผนที่นั่นล่ะ แต่ไม่รู้ว่าช่วงหน้าน้ำจะมีน้ำเยอะแค่ไหน
รถบรรทุกเกลือขับผ่าน
Salt lake อยู่เบื้องหน้า
ทะเลน่าจะเรียกพ่อนะ คือ เค็ม
ผิวเกลือเต็มไปหมด
เค็ม
คนขับรถ แอบกินโค้กเราระหว่ารอ พอเรากลับมาที่รถถามว่า จะเป็นไรไหมถ้าผมกินโค้ก คือ กินไปแล้วจะให้ทำไงล่ะ ไม่ได้ขอด้วย นิสัย
และแล้วก็มาถึงทะเลทราย Maranjab Desert มาดูพระอาทิตย์ตก ที่เห็นนี้คือ รางน้ำ ไม่รู้น้ำมาจากไหน ไว้ให้อูฐกิน
ลมแรงมากน่ะ ต้องดัน iso ยืนถือถ่าย
ตัวจะปลิวน่ะนั่น
มีคนมาถ่ายรูปด้วย นึกว่าจะมีแต่พวกเรา
ลมแรงมากสงสัยจะต้องกลับแล้วล่ะ
เสียดายมาตั้งไกล
มืดแระ
เราก็กลับไปนอนที่พักที่จัดไว้ให้ Caravasaral (มีน้ำอุ่นอาบนะ แต่ที่นอนไม่สบายเท่าไรแมลงวันเยอะ)
มีเป็ด มีน้ำให้เปิดเล่น ไม่ธรรมดา
ช่วงเช้าก็เดินออกไปถ่ายรูป
กับองค์รักษ์
ยามเช้ากับ ที่พัก Caravasaral ที่มีอายุกว่า 350 ปี สำหรับพักกองคาราวานพ่อค้าเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม
เดินออกมาหาอูฐ
น่าจะเอาไว้บริการนักท่องเที่ยวล่ะ
ตัวนี้อยุ่นอกคอกไม่รู้เพราะอะไร
พื้นที่กำลังปรับปรุงคาดว่าจะทำเป็นภาพแบบนี้เห็นโฆษณาไว้
20 เม.ย. 60 - เดินทางกลับ Tehran ด้วยรถประจำทาง มีเวลาเหลือเลยแวะไปเที่ยว - Azade Tower - ไปสนามบิน บินกลับ กลับมาสู่เมืองวุ่นวาย
ตามแผนเดิมคือไปสนามบินเลย แต่บินดึกก็เลยมาเก็บ Azadi Tower เพราะวันแรกที่มาฟ้าปิด
สร้างขึ้นในโอกาสฉลองครบรอบ 2500 ปีของจักรวรรดิเปอร์เซีย ใน ค.ศ. 1971
ชื่อเดิมเมื่อเริ่มสร้างคือ Shahyad Tower แต่หลังมีการปฏิวัติจึงเปลี่ยนชื่อเป็น Azadi มีความหมายว่าเสรีภาพ
เป็นหอยคอยสูง 50 ม. สร้างจากหินอ่อนจากจังหวัด อิสฟาฮานจำนวน 8000 ก้อน ออกแบบโอยสถาปนิกอิหร่านเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่าง ซัสซานิคอเคเมนิด และศิลปสมัยใหม่
หินทุกก้อนถูกคำนวนด้วยคอมพิวเตอร์ และตัดก้อนหินโดยช่างฝีมือชาวอิหร่านโดยเฉพาะ ลานกว้างรอบหอคอยมีพื้นที่ 50000 ตร.ม.
ปิดท้ายด้วยภาพนี้ ทหารเพาว์เวอร์เรนเจอออ ขอบคุณครับที่ติดตาม
สถานที่แต่ละที่ดูยิ่งใหญ่ สวยงาม อลังการมากๆ :o :o ชอบสีของผนัง งานก่อสร้าง ดูละเอียดละออ ไปสะหมด รูปเยอะดี ชอบๆ ;D ;D
สถานที่แต่ละที่ดูยิ่งใหญ่ สวยงาม อลังการมากๆ :o :o ชอบสีของผนัง งานก่อสร้าง ดูละเอียดละออ ไปสะหมด รูปเยอะดี ชอบๆ ;D ;D ขอบคุณครับ ที่ยังจำพาสเวิรดได้
หนังสือที่ใช้เป็นข้อมูล มาจากนี่เกือบทั้งหมดนะครับ IRAN The Crossroads Civilization จุดบรรจบอารยธรรมโลก ผู้จัดทำ KTC guidezine wongklom journey
แผนที่สรุปตามนี้