Hiking Thai
Hiking Thai => เที่ยวนอกบ้าน...นอกเมืองไทย => Topic started by: designbydx on เมษายน 18, 2023, 05:16:35 am
ตั้งใจจะไปก่อนโควิดมา แต่ก็ดันมาพอดีตอนที่จะไป รอไปอีก 2 ปี มัดจำไปแล้ว(แต่ทัวร์ก็เก็บมัดจำไว้ให้) ตั้งใจจะไป 7-16 เมษายน 2566 แต่เที่ยวบินก็เลื่อนอีกเป็น 8-15 เมษายน 2566 ทำให้ต้องปรับแผนการเที่ยว จึงได้แผนตามข้างล่าง(ทัวร์เสนอมาให้) บินอย่างเดียว ไม่มีนั่งรถนะครับ (แต่เที่ยวบินขากลับถูกยกเลิก ดีนะที่ไม่ใช่ขาไป) Outline itinerary of Mardi Himal Trekking with the valley sightseeing : 08 Apr : Arrival in Kathmandu. Pick up and transfer to the hotel (Thamel) 09 Apr : Morning Fly to Pokhara from Kathmandu (Fly time: 25min). Drive to Kande from Pokhara (Driving time: 1 hrs) then Trek to Deurali (Walking time: 4 hours) 10 Apr : Trek to Forest camp (2520m) (Walking time: 6 hours) 11 Apr : Trek to High camp (3700m) (Walking time: 5 hours) 12 Apr : Exploration day (Mardi view point (4200m) or Mardi Himal Base Camp 4500m or both ) เราเปลี่ยนแผนขึ้นยอดแล้ว ลงมานอนที่ Low Camp แทน จะได้เดินน้อยหน่อยขากลับ 13 Apr : Trek until Sidhing (Walking time: 7 hours). Drive back to Pokhara by private jeep (Driving time: 2 hrs). 14 Apr : Morning fly back to Kathmandu (Fly time : 25 min แต่ถูกยกเลิกเที่ยวบิน ต้องนั่งรถแทกซี่มาแทน) Pick up and transfer to the hotel (Thamel). Later, Full day sightseeing of Patan / Swayambhunath / Boudhanath 15 Apr : Final Departure. www.incredibletreks.com Facebook : https://www.facebook.com/nepalguidekrish คำแนะนำ 1.ควรมีสัก 10 วันนะครับ เผื่อฉุกเฉิน 2.ค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้นประมาณ 4 หมื่นบาท รวมทุกอย่างแล้ว(ค่ากินตอนเดินแลกไป 80 us เหลือๆ ครับ ทัวร์เขาจะมีอาหารให้แล้ว นอกจากจะกินเพิ่มจ่ายเอง) 3.ต้องมี crampons นะครับ เอาติดตัวไปด้วย หรือไปซื้อที่โน่นก็ได้ราคาไม่แพง(ต้องมีติดไว้นะ) 4.ยาแก้แพ้ความสูง จำเป็นมาก 5.มีน้ำอุ่นอาบ(แค่ Forest Camp) แต่ก็ตามอัตภาพ สูงกว่านั้นไม่อาบกันแล้ว 6.เมนูอาหารเหมือนกันทุกที่ หน้าตาเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม ถ้ากลัวท้องเสียแนะนำให้กินอะไรก็ได้ร้อนๆ แทน กินไม่ได้ก็กินผลไม้ มีกล้วย กับแอปเปิ้ล 7.น้ำเปล่าขวดไม่มีขายกลางทาง มีแต่น้ำกรอง แต่ปลายทางมีขาย งง ม่ะให้เหตุผลว่าขยะ แต่ว่ามีน้ำอัดลมขาย งงไปอี๊ก 8.ค่อยเดิน เดินช้าๆ เพราะยังไงก็ถึง ทางเดินชัด เดินง่าย แต่เป็นบันไดส่วนใหญ่ 9.ขากลับยังไง ก็ลงมานอน Low Camp ครับ ไม่งั้นเดินอ๊วกเลย 10.ความสูงที่ระดับ 3000 ขึ้นไปจะหนาว และมีลม ควรติดเสื้อกันหนาว กันลม ไว้ที่เป้ด้วยนะครับ 11.ควรไปกรุ๊ปละ 4 คน 8 คน เพราะรถจุได้สะดวกที่ 4 คน หากมากกว่านี้จะต้องใช้รถคันใหญ่จะทำให้ช้าได้ครับ 12.ฟ้าเปิดเฉพาะช่วงเช้าถึงประมาณ 11.00 น. ก็ปิดแระ ถ่ายรูปก็อย่าคาดหวังเย็นนะครับ ยกเว้นหน้าหนาวล่ะมั๊ง 13.sim2fly ใช้ได้เฉพาะในเมืองนะ ระหว่างเดินเลิกคุย 14.ประหลาดใจไกด์พูดไทยได้ด้วย 15.ก่อนออกเดินทางชั่ง นน. ไว้เทียบขากลับก็ดีนะ ผมหนักก่อนไป 76.4 กก. ขากลับ 72.0 กก. 16.พกแมสไปด้วยนะครับ กันฝุ่น PM2.5 กล้อง Fuji xs-10, xf27mm, xf35mm, Samyang 12mm, xc55-210mmVIDEO
เข้าใจผิดว่า Mardi Himal เป็นชื่อเส้นทาง แต่จริงๆ คือชือยอดเขา แต่ที่พีคกว่าคือ ยอด Mardi เราไม่มองแต่เรากลับไปมอง Fish Tail แทน แล้ว Mardi Himal มันคือยอดไหนกันแน่เนี่ย แผนที่มีขาย 300 รูปี
ด้วยความที่เร่งรีบโดนกำจัดเวลา บิน กทม.-กาฐมาณฑุ นอน แล้วเช้า ก็บิน กาฐมาณฑุ-โพคาราเลย แล้วก็ไปปล่อยจุดปล่อยตัวที่หมู่บ้าน Kande(1710 msl)
9/4/66 เริ่มต้นเดินจากหมู่บ้าน Kande ประมาณ 12.00 น. โอ๊ยจะร้อนไปไหนเนี่ย เป็นบันไดล้วนๆ จะบอกว่าวันนี้เหนื่อยมากๆ หัวใจจะกระเด็นออกมาจากตัว ท้องเสีย ระบบร่างกายรวนมาก คิดในใจคงไม่รอดแน่ๆ งานนี้ แต่ก็ค่อยๆ ขยับตัวไปเรื่อยๆ
เป้าหมายของเราในวันนี้คือ Pitam Deurali(2100 msl)
เคลื่อนย้ายมวลสารประมาณ 4 ชม. ก็มาถึงเป้าหมาย Pitam Deurali(2100 msl) เราพักที่นี่ครับ Super top view สภาพอากาศแย่มากๆ PM2.5 หนาแน่นมาก
ห้องอาหารทุกที่จะมีเตาเหล็กทำความร้อนให้ห้องอบอุ่น
ตกเย็นมาไม่รู้ทำอะไร ก็มานั่งล้อมวงที่เตานี่ล่ะ ทำอะไรก็ทำไป วันนี้โชคไม่ดีไฟไม่มา ค่าอาบน้ำอุ่น 40 บาท ผลไม้ลูกละประมาณ 20 บาท
ตื่นเช้ามาเห็นยอดหางปลาแล้ว รู้สึกมีพลังอยากพิชิต
พระอาทิตย์ขึ้นตรงหน้าที่พักเลย หยุดรอดูนานไม่ได้ต้องไปต่อ
10/4/66 เริ่มออกเดินจาก Pitam Deurali(2100 msl) เวลาประมาณ 08.00 น. เป้าหมายเราไปต่อที่ Forest Camp (2600) อาหารเช้าวันนี้กินข้าวไข่เจียวกับน้ำพริกที่เพื่อนเตรียมมาจากไทย กินให้เยอะๆ จะได้มีแรงนะ เป้าหมายเราลิบๆ โน่นล่ะ
ยิ่งเข้าใกล้ไปเท่าไร ภูเขาก็ดูยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทย เหมือนมาเดินป่าเมืองไทยเลย ;D ;D ;D
หางปลาชัดขึ้นเรื่อยๆ
ใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชม.ครึ่งก็มาถึง Forest Camp (2600) อ้อลืมบอกไปว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่มีน้ำขวดขาย มีแต่น้ำกรองขาย ขวดละ 100-150 รูปี
ยามว่างลูกหาบเราก็เล่นอะไรไม่รู้ เราพักที่ Jungel Embassy กล้วยขายลูกละ 27 บาท แพงป่ะล่ะ อาบน้ำ 70 บาท ผลไม้เมืองหนาวนี่รสชาติดีจริงๆ นะ
เขาชอบเล่นวอลเล่ย์บอลกัน
ถ้าจำไม่ผิดชื่อ ลิลี่ รับแขกสุดๆ
ช่วงความสูงนี้ยังไม่รู้สึกว่าเป็นป่ามากเท่าไร ตกเย็นทุกบ้านทำกับข้าวให้แขกที่มาพักกินกัน ที่นี่จะนิยมพักกัน มีหลายหลายเชื้อชาติ
ยามเย็นจะมีจุดชมพระอาทิตย์ตก
ชอบความมีระเบียบของ รร.นี้
11/4/66 ออกจาก Forest Camp (2600) ประมาณ 07.30 น. เป้าหมายไปที่ High Camp(3600) ไกด์เตือนให้เตรียมเสื้อหนาว เสื้อกันลมไว้ จะหนาวจริงๆ แล้วนะ
วันนี้ยอมรับเลยว่าหนักมาก ต้องไต่ระดับร่วม 1000 ม.
ระหว่างทางตั้งแต่ Low Camp(2970) เราจะเห็นกุหลาบพันปีสีชมพูเต็มไปหมด
เป้าหมายเราพักเที่ยงกลางทางเรียกว่า Bandal Danda(3300) แปลว่า ยอดหมอก ที่พักเที่ยงเราอยู่ตรงโน้นๆๆๆ
ต่อจากนี้ไปจะหนาวจริงแล้วล่ะ บ่ายๆ ยอดสูงจะมีเมฆฝนมาบัง มีลม ทำให้หนาวขึ้นมาทันที
จะเห็นถุงแบบนี้แขวนไว้ คือถุงสำหรับทิ้งขยะ
เริ่มมีหิมะให้เห็นแล้ว
ค่อยๆ เดินระวังลื่นครับ
มาถึงแล้ว High Camp (3600) ใช้เวลาไปประมาณ 8 ชม. มาถึงฝนก็ตกหนาวมาก นั่งในห้องที่เตาความร้อนก็ยังหนาวอยุ่ต้องงัดเอาเสื้อหนาวตัวหนามาใส่กันทีเดียว
12/4/66 ไกด์บอกว่า ถ้าฝนตกอย่างนี้วิวตอนเช้าเปิดแน่ แต่ถ้าฝนตกตอนเช้าก็ขึ้นยอดไม่ได้ นัดตี 4 เอ่อ จะตื่นไหวไหมเนี่ย แต่ก็มาแล้วนี้ เป้าหมายขอแค่วิวพอย์ (4200) ก็พอใจแระ นอนๆๆๆ เอาแรง โชคดีมากที่ไกด์เราเตรียม Crampons มาเผื่อไม่งั้นอดขึ้นยอดแน่เลย มันลื่นมาก หิมะตกมาใหม่ๆ ด้วย
สโหล๋สเหล๋ มาก สติสตางค์ไปไหนหมด
พระอาทิตย์ก็จะขึ้นแล้ว แรงก็หมด
เอ้าเว้ยอีกนิดนึง
ไกด์เราขอรูปนึง
จุดสุดท้ายความสูง 4500 เขาไม่ให้เพราะว่าอันตราย แต่แค่นี้ก็พอใจแระ
ขอรูปนึง
ไม่ต้องกล้วอดครับ บนยอดนี้มีร้านขายของด้วย 5555 ตกใจล่ะเซ่
ซูมไปใกล้ๆ เธอก็ก้อนหินธรรมดาเอง เพียงแค่อยู่สูงๆ
หลายคนที่ผมสังเกตุเขาก็ไม่ใส่ Crampons นะ ก็เดินได้ ผมนี่งง ไปเลย
สบายใจล่ะ กลับบ้านได้ มีภาพไปอวดแล้ว เราตัดสินใจไปนอนที่ Low Camp (2970) จะได้เดินไม่ไกลมากขากลับ(คิดถูก)
13/4/66 จาก Low Camp (2970) เริ่มเดิน 07.30 น. ไปถึง Siding(1700) ประมาณ 11.00 น. ใช้เวลาประมาณ 3.5 ชม. แล้วนั่งรถเข้า Pokhara อีก 2 ชม.
ระหว่างทางสวยดีนะ
เราก็สงสัยว่าทางเดินทำไมมันมีการทำบันไดอย่างดี และก็ยาว และก็มีจนถึงปลายทาง ทำไมขยันสร้างจัง ได้ความว่า มันก็คือเส้นทางระหว่างหมู่บ้านนั่นเอง ชาวบ้านก็จะนำหินบริเวณนั้นๆ มาตัดทำเป็นบันได (ก็คงเหมือนเส้นทางหมู่บ้าน อบต. ไทยประมาณนั้น) โดย งบประมาณได้รับการสนับสนุนจากรัฐ แต่ทีสงสัยอีกอย่าง T house หรือที่พักระหว่างทาง ทำไมมีรูปแบบเหมือนกัน สร้างกันอย่างไร แล้วที่ที่อยู่ไม่ใช่ที่ของอุทยาน หรือของรัฐบาลเหรอ ได้ความว่า เป็นที่ของชาวบ้านนั่นล่ะ ใครจะสร้างต้องขออนุญาตก่อน และต้องเสียภาษี ส่วนการก่อสร้างจะลำเลียงวัสดุด้วย ฮ. หรือไม่ก็ลา หรือไม่ก็คน ชอบบันได หรือทางปกติล่ะเธอ ;D ;D ;D
14/4/66 ตื่นตีห้า เตรียมตัวบินกลับ กาฐมาณฑุ เที่ยว 07.30 น. แต่โชคร้ายโดนยกเลิกเที่ยวบินประมาณ 12.00 น. เนื่องจากการสื่อสารขัดข้อง เลยต้องนั่งแทกซีกลับมาแทน แทนที่จะใช้เวลาบินแค่ 20 นาทีกลายเป็น 7 ชม. ประกอบกับตรงกับขึ้นปีใหม่เนปาลด้วย หารถยากไปอี๊ก ความทรมานระยะทาง 200 กม. จำได้นานเลย ถนนแย่มากๆ แนะนำบินดีกว่านะครับ เผื่อวันด้วย ไว้เจอทริปถัดไปครับ 15/4/66 เที่ยวในเมือง แล้วรอบินกลับไทย
เขาจะมีใบประกาศให้ด้วย