Hiking Thai
Hiking Thai => เที่ยวเมืองไทย..ยังไม่ไปก็รู้ => Topic started by: designbydx on ธันวาคม 03, 2012, 04:45:45 pm
-
ภูกระดึง จังหวัดเลย
มีเนื้อที่ประมาณ 384 ตร.กม. หรือ 217,581 ไร่ บนยอดเขามีพื้นที่เป็นที่ราบ 60 ตร.กม. หรือ 37,500 ไร่ ระดับสูงเฉลี่ย 1,000 ม. มีจุดสูงที่สุดมีชื่อว่า ภูกุ่มข้าว สูงประมาณ 1,350 ม. จากการเล่าสืบทอดกันมา มีพรานป่าคนหนึ่งตามล่ากระทิงโทน ขึ้นไปจนถึงยอดเขาลูกหนึ่งในเขตตำบลศรีฐาน และได้พบพื้นที่ราบบนยอดเขากว้างใหญ่ เป็นทุ่งหญ้าสลับกับป่าสน มีต้นไม้ขึ้นอยู่เรียงรายเป็นระเบียบ และยังเต็มไปด้วยสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น ช้าง กระทิง เก้ง กวาง ซึ่งหากินเป็นฝูง ไม่สนใจหรือตื่นเต้นกลัวนายพราน เนื่องจากไม่เคยเห็นมาก่อน ภูกระดึงซึ่งธรรมชาติปิดบังซ่อนเร้นมานาน ก็ถูกเปิดเผยให้มนุษย์ได้รู้จักกันตั้งแต่นั้นมา
-
สำหรับชื่อภูกระดึงนั้นมีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า ทุกวันโกนและวันพระจะได้ยินเสียงกระดิ่ง หรือระฆังดังลอยตามสายลม ดังกับมีหมู่บ้านบนเขาลูกนี้ จึงได้เข้าใจว่าเป็นระฆังของพระอินทร์ ซึ่งอาจสถิตอยู่บนเขาลูกนี้ เพราะได้ยินแต่เสียง นอกจากนี้เมื่อขึ้นไปบนยอดเขาบางแห่งหากเดินหนักๆ หรือใช้ไม้กระทุ้งจะมีเสียงดังก้องคล้ายระฆัง ซึ่งเกิดจากมีโพรงอยู่ข้างใต้ จึงได้ขนานนามว่า ภูกระดึง หรือ ภูกระดิ่ง คำว่า ภู หมายถึง ภูเขา และกระดึง ก็มาจากกระดิ่ง ภาษาพื้นเมืองแปลว่าระฆัง แต่จนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยมีผู้ใดได้เห็นระฆังดังว่านี้เลย
ผาเหยีบเมฆ คิดไม่ออกว่าต้องไปดูตอนไหน
-
ภูกระดึงและธรรมชาติที่สวยงามแปลกตานี้มีคนรู้จักมานานหลายสิบปีแล้ว และเป็นที่รู้จักกันมากขึ้นในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 เมื่อสมุหเทศาภิบาล (พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม) ได้ทำรายงานสภาพทางภูมิศาสตร์เสนอต่อกระทรวงมหาดไทย และต่อมาปี พ.ศ. 2463 นายอำเภอวังสพุงสมัยนั้นได้ขึ้นไปสร้างพระพุทธรูปไว้องค์หนึ่งบนยอดเขาลูกนี้ พระพุทธรูปองค์นี้เคยมีผู้มีจิตศรัทธาพยายามที่จะสร้างหลังคาเพื่อกันแดดและฝนหลายครั้ง แต่เมื่อมุงหลังคาเสร็จจะเกิดฟ้าผ่าลงมาพังทุกครั้ง โดยที่องค์พระพุทธรูปไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดเลย เป็นที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง จึงสร้างหลังไม่ได้จนทุกวันนี้ และเมื่อปี พ.ศ. 2526 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงพระกรุณาให้บูรณะรอบๆ องค์พระด้วยหินอ่อนและได้ทรงเสด็จมาเจิมและสวมเกศพร้อมทั้งทรงพระราชทานนามพระพุทธรูปนี้ว่า พระพุทธเมตตา จนถึงทุกวันนี้
ผาหล่มสัก มุมมหาชน ไม่กล้าอยู่เย็นกลัวกลับไม่ถึงที่พัก
-
ก่อนเป็นอุทยานแห่งชาติ สภาพทั่วๆไปบนภูกระดึงประกอบไปด้วยป่าสนสลับกับป่าก่อ และทุ่งหญ้า มีสัตว์ป่านานาชนิดอาศัยอยู่มากมาย ทางราชการเล็งเห็นถึงความสำคัญเหล่านี้จึงได้ดำเนินการประกาศให้ภูกระดึงเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2486 ต่อมาเมื่อกิจการอุทยานแห่งชาติถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทย และรัฐบาลเห็นความสำคัญของธรรมชาติ อันมีต้นน้ำ ลำธาร ป่าไม้ โขดหิน สัตว์ป่า และทิวทัศน์ที่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ ไม่เหมือนที่แห่งอื่นจึงได้ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2505 ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 79 ตอนที่ 104 วันที่ 23 พฤศจิกายน 2505 รวมทั้งพื้นที่บริเวณใกล้เคียงภูกระดึง เป็นเนื้อที่ทั้งหมด 348 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันภูกระดึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคนนิยมไปท่องเที่ยวมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย
อิจฉา ที่ผาจำศิล
-
สภาพทางภูมิศาสตร์ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง มีพื้นที่เป็นภูเขาสูง ซึ่งเกิดจากการหักตัว (Fault) และโก่งตัว (Fold) ของเปลีอกโลก ประกอบไปด้วยหินทรายหลายสมัย ชั้นหินภูกระดึงแบ่งออกเป็นสามชั้นคือ ชั้นบนสุดเป็นหินทรายของภูพาน ชั้นที่สองเป็นหินทรายของเขาพระวิหาร ชั้นล่างสุดเป็นหินทรายสีเทาของภูกระดึงเอง ใต้จากหินทรายเหล่านั้นเป็นหินปูน เนื่องจากที่ราบบนภูกระดึงสูงทางทิศตะวันออก แล้วลาดเทลงมาทางทิศตะวันตก ฉะนั้นบรรดาลำธารทั้งหลายทั้งหลาย จึงไหลลงสู่ทางทิศตะวันตกทั้งสิ้น ลำธารเหล่านั้นไหลไปรวมในที่แห่งเดียวกันกลายเป็นต้นน้ำของลำแม่น้ำพอง แล้วไหลลงสู่แม่น้ำชี ลำธารต่างๆ ที่มีอยู่มากมายบนภูกระดึงนั้นล้วนแต่สวยงามน่าชมทั้งสิ้น ได้แก่ ลำพองน้อย ลำธารสวรรค์ ห้วยวังกวาง ลำธารถ้ำสอ เป็นต้น ลักษณะอากาศบนภูกระดึงนั้น ในฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก บางปีลดลงถึงลบ 2 ถึง 3 องศาเซลเซียส ดังนั้นบนภูกระดึงจึงมีพรรณไม้เมืองหนาวขึ้นอยู่มาก เช่น ไม้ก่อ (Oak) ไม้สน เมเปิ้ลแดง เมเปิ้ลขาว กุหลาบแดง กุหลาบขาว เป็นต้น
รอบนี้ถ้าไม่ได้จักรยานคงแย่ไม่ได้เที่ยวหลายที่ แต่แย่ตรงที่ปวดหน้าขามากก
-
กล้วยไม้ต่างๆและกล้วยไม้ดิน เช่นยี่โถปีนังหรือว่านตักหงาย เอื้องหมายนา เอื้องคำเหลี่ยม เอื้องแซะภู ข้าวตอก กระเรกระร่อนเขา ฉัตรพระอินทร์ ม้าวิ่ง ปัดหิน เป็นต้น นอกจากพันธ์ไม้หลายร้อยชนิดแล้ว บนภูกระดึงยังเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่าต่างๆ อีกหลายชนิดที่เคยพบมี เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี กวาง เก้งหรือฟาน หมูป่า ช้างป่า อีเห็นหรือชะมด ค่าง ชะนีขาว ชะนีดำ หมีไม้หรือกระรอกดำหรือพญากระรอก หมาจิ้งจอก หมาใน เป็นต้น ส่วนกระทิงหรือเมยหรือวัวแดงก็เคยมีมากที่ภูกระดึง แต่ถูกชาวบ้านล่ากันอย่างขาดสติ จึงทำให้สัตว์ทั้งสองชนิดนี้ต้องสูญพันธุ์ไปจากภูกระดึงอย่างน่าเสียดาย นอกจากนี้ก็ยังมีนกต่างๆ ที่เคยพบก้มี นกขมิ้น นกกระทา นกกก นกแกง นกมูม ไก่ป่า นกเข้าเปล้าหรือนกเขาเขียว นกพญาไฟและอีกหลายชนิด สัตวืเลื้อยคลานก็มี เต่าเดือย เต่าปูรูหรือเต่าหางพบตามลำธารในป่าดงดิบระดับสูงเท่านั้น กิ้งก่าปีกหรือกิ้งก่าบิน กบหงอน งู มีทั้งชนิดพิษร้ายแรงและไม่มีพิษ ที่พบมีงูจงอาง งูเห่า งูง่วงกลางดง งูสา งูเหลือม งุหลาม งูกะปะ งูเขียวและเขียวหางไหม้ เป็นต้น สำหรับปลาทุกชนิดไม่มีบนภูกระดึงเลย เจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ เคยนำขึ้นไปปล่อยเพื่อทดลองว่าชนิดไหนจะสามารถขยายพันธุ์อยู่ได้ ผลปรากฎว่าปลาจำพวกมีเกล็ดไม่สามารถทนอยู่ได้เมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงถึงลบ 2 หรือ 3 องศา มีสองชนิดเท่านั้นที่สามารถขยายพันธุ์อยู่ได้คือ ปลาดุกและปลาไหล ซึ่งวิธีการนี้รู้สึกว่าจะผิดหลักการในการจัดการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งจะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับนิเวศวิทยาผิดไป
วิวตามผา กำลังเย็น
-
การเดินทางและที่พัก การเดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติภูกระดึงนั้น หากเริ่มต้นที่กรุงเทพฯไปโดยทางหลวงหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน กรุงเทพฯ สระบุรี เลี้ยวขวาตามทางหลวงหมายเลข 2 หรือถนนมิตรภาพ ผ่านมวกเหล็ก กลางดง ปากช่อง สีคิ้ว ถ้าไม่จำเป็นต้องเข้าโคราชก็เลี้ยวซ้ายตามทางหลวงหมายเลข 201 ผ่านด่านขุนทด หนองบัวโคกจัตุรัส ชัยภูมิ แก่งค้อ ภูเขียว ชุมแพ เลี้ยวซ้ายทางหลวง 201 ตามเดิม เลี้ยวขวาผ่านตลาดบ้านโนนหัน (ถ้าตรงไปจะไปอุทยานฯน้ำหนาว) ผ่านสวนสักดงลานและศูนย์เพาะชำภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ด่านตรวจผานกเค้า และถึงทางแยกเข้าภูกระดึงตรงหลักกิโลเมตรที่ 133 เลี้ยวซ้ายอีกทีผ่านตลาดอำเภอภูกระดึง ตรงดิ่งเข้าถึงตีนเขาภูกระดึง ทางแยกเข้าภูกระดึง 2019 ระยะทาง 8 กม. ซึ่งถ้าท่านเดินทางด้วยรถปรับอากาศหรือรถทัวร์จะส่งลงที่ด่านตรวจผานกเค้า รถประจำทางทุกคันนอกจากรถ 99 จะเข้ามาจอดรับผู้โดยสารที่หน้าสภอ. ภูกระดึง จากนั้นจะมีรถยนต์เล็กหรือรถสองแถวทั้งป้ายดำ ป้ายเหลือง รถสามล้อเครื่อง แบะรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างคอยบริการท่านอยู่ให้ท่านเลือกนั่งได้ตามสะดวก ถ้าไม่ปกติก็เป็นธรรมดาว่าจะต้องขึ้นไปอีกเท่าตัวหรือหลายเท่าก็ได้ นอกจากเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพฯแล้ว ยังสามารถเดินทางจากจังหวัดอื่นได้อีกมากมาย เพราะจะมีเส้นทางแยกทางร่วมแทบทุกจังหวัด เพราะปัจจุบันมีถนนหนทางเชื่อมต่อได้เกีอบทุกจังหวัดแล้ว ท่านสามารถเลือกได้ เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายของท่านเอง ทางหลวงอีกหนึ่งสายที่น่าเดินทางคือสายกรุงเทพฯ หล่มสัก เริ่มต้นจากกรุงเทพฯ สระบุรี ตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 1 ถึงบ้านพุแค ก่อนถึงสวนพฤกษาศาสตร์พุแคเล้กน้อย มีทางแยกเลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ตัดผ่านช่อง เขาระยะทางประมาณ 64 กม. ถึ่งสี่แยกม่วงค่อม เลี้ยวขวาข้างป้อมตำรวจ ไปอีกประมาณ 74 กม. ถึงสามแยกด่านขุนทด จะมีป้อมตำรวจทางหลวงอยู่ข้างหน้าแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 201 เข้าชัยภูมิ ทางสายนี้รถไม่มากถ้าท่านมีรถส่วนตัวหรือรถเหมา ควรใช้เส้นทางนี้เพราะจะช่วยย่นระยะทางประหยัดเวลาและน้ำมันรถได้มาก หรือถ้าเดินทางโดยรถประจำทาง ถึงสี่แยกม่วงค่อมเลี้ยวซ้ายเข้าอำเภอชัยบาดาลตรงดิ่งเข้าหล่มสัก ต่อรถสายหล่มสัก ชุมแพ บอกคนรถว่าลงสามแยกบ้านโนนหันแล้วดักคอยรถขอนแก่น เมืองเลย หรือรถสองแถวชุมแพ ภูกระดึงก็ได้ แต่อย่าลืมว่าจะต้องให้ถึงสามแยกบ้านโนนหันนี้ก่อนเวลาบ่าย 5 โมงเย็นเป็นอย่างช้า เพราะรถจะหมดในระยะเวลานี้และจะหาที่พักลำบาก นอกจากท่านจะเลยไปลงชุมแพ ขึ้นอยู่กับความสะดวกของท่าน
ทะเลหมอก ตอนเดินขึ้น
-
ที่พัก สำหรับที่พักบนอุทยานแห่งชาติภูกระดึงนั้นมีหลายราคาทั้งแบบเป็นหลัง เป็นเรือนแถว เต็นท์หลังใหญ่และเต็นท์สนาม ท่านที่ประสงค์จะไปพักแรมต้องติดต่อขอจองล่วงหน้าแต่เนิ่นๆ ท่านที่อยู่ในกรุงเทพฯ ติดต่อที่กองอุทยานแห่งชาติกรมป่าไม้ ท่านที่อยู่ต่างจังหวัด ติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานป่าไม้เขต หรือสำนักงานป่าไม้จังหวัดทุกแห่ง หรือถ้าไม่สะดวกไปติดต่อที่สำนักงานอุทยานแห่งชาติภูกระดึงเลยก็ได้ นิสิต นักเรียน นักศึกษา สมาคมต่างๆ ติดต่อจองเป็นคณะ อาจจะได้ลดราคาเป็นพิเศษ แต่จะต้องทำหนังสือเสนอต่ออธิบดีกรมป่าไม้เมื่อท่านจองที่พักได้แล้ว ทางฝ่ายจัดการบ้านพักก็จะออกหนังสือการจองที่พักพร้อมแนบระเบียบกรมป่าไม้ว่าด้วยการเข้าในอุทยานแห่งชาติ และใบเสร็จรับเงินตามจำนวนเงินที่ท่านชำระไว้เป็นการยืนยันด้วย ซึ่งเมื่อท่านเดินทางไปยังภูกระดึงจะต้องถือหนังสือนี้ไปด้วย รายละเอียดอื่นๆที่ยังสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายที่พักของกองอุทยานแห่งชาติดังกล่าว
ผานาน้อย
-
การเตรียมตัวก่อนเดินขึ้นภู เมื่อท่านเดินทางมาถึงเชิงเขาหรือตีนภู ในภาษาชาวบ้านแล้วอาจจะยังไม่สว่าง หรือเช้ามืดไม่ถึงเวลาที่ทางเจ้าหน้าที่อุทยานฯ จะเปิดให้ขึ้นได้ ท่านที่ยังไม่ได้ทำธุระส่วนตัวก็จัดการให้เรียบร้อยก่อน ห้องน้ำ ทางอุทยานฯมีไว้บริการ ขอแต่ให้ท่านกรุณาอ่านดูป้ายต่างๆที่ทางอุทยานฯ ทำไว้ตั้งแต่ก้าวแรกที่ท่านผ่านเข้ามาในอุทยานฯ เสร็จจากกิจส่วนตัวแล้วก็ควรสำรวจความพร้อมในตัวท่าน (ขอแนะนำไว้สำหรับท่านที่ยังไม่เคยขึ้นภูกระดึงหรือเคยแต่หลายปีมาแล้ว) เป็นต้นว่า เสื้อควรจะบางและเบา กางเกงควรจะเป็นกางเกงขาสั้นหรือกางเกงวอร์ม หรือชุดวอร์มก็ได้ ถุงเท้าควรจะหนา รองเท้าควรเป็นรองเท้าผ้าใบค่อนข้างเก่าหน่อย พื้นเรียบแบบเกาะพื้นได้ดี สำหรับรองเท้าคู่ใหม่ที่ซื้อมาเพื่องานนี้นั้น ถ้าไม่จำเป็นจริงๆควรจะเก็บใส่กระเป๋าไว้ก่อนหรือถ้าจำเป็นเพราะเตรียมมาคู่เดียวก็ไม่เป็นไร แต่ว่าในกระเป๋ากางเกงที่ท่านสวมอยู่จะต้องมี
อ่างเก็บน้ำใกล้ๆ ที่พัก สวยมากชอบล่ะ เพราะว่าเดินไม่ไกล
-
1. พลาสเตอร์ยา สำหรับปิดแผลอย่างน้อย 3 4 แผ่น
2. ผ้าเช็ดหน้าหรือผ้าขนหนูขนาดพอมัดศรีษะได้
3. ยาหม่องหรือยาดม ยานวด แก้เคล็ดขัดยอกหรือชนิดเป็นน้ำมันหอมเย็นๆก็ดี
4. กระติกน้ำหรือกระบอกใส่น้ำขนาดถือแล้วรู้สึกว่าไม่หนัก บรรจุน้ำให้เต็ม หรือถ้าท่านคิดว่าไม่จำเป็นจะไปหาซื้อน้ำอัดลมหรือน้ำจากภูเขาบรรจุขวด ที่มีพ่อค้าแม่ค้าชาวบ้านวางขายตามทางเดินขึ้นเขาก็ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของท่าน ราคาก็ต่อรองกันได้
อีกมุม
-
ทั้ง 4 อย่างนี้ ควรจะมีติดตัวท่านตลอดระยะทางเดินขึ้นภู ถ้ายังขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดท่านก็จะสามารถหาซื้อได้จากร้านขายของที่ระลึกที่เชิงเขาใกล้กับศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว จากนั้นท่านก็นำหนังสือการจองที่พักไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ ณ เคาน์เตอร์ภายในศาลาศูนย์ประชาสัมพันธ์นักท่องเที่ยว ซึ่งจะมีป้ายเขียนติดไว้เป็นช่องๆ และมีเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาตินั่งรอคอยให้บริการท่านอยู่ที่เคาน์เตอร์นั้น เป็นต้นว่า หัวหน้าคณะนำเที่ยวจะต้องกรอกใบอนุญาตเข้าพักแรมตามแบบฟอร์มที่มีให้ ซื้อบัตรค่าธรรมเนียม แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ที่ด่านตรวจก่อนจะผ่านขึ้นไป หรือท่านอาจจะได้ยินเสียงเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์กล่าวแนะนำอะไรต่ออะไรอีหลายข้อ ซึ่งก็จะเป็นประโยชน์ต่อท่านและคณะ ออกจากศาลาประชาสัมพันธ์ก็จะเป็นขั้นตอนสุดท้าย เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ท่านนำกระเป๋าหรือสัมภาระที่ต้องกาจะจ้างหาบ (ผู้ที่แข็งแรงมากๆจะไม่จ้างหาบก็ได้) ไปยังฝ่ายจัดหาบสัมภาระหลังศาลาประชาสัมพันธ์เพื่อชั่งน้ำหนัก นับจำนวนชิ้น และรับบัตรเป็นหลักฐาน ส่วนหนึ่งสำหรับผู้ว่าจ้าง สำหรับผู้รับจ้างอีกส่วนหนึ่ง เจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดหาบสัมภาระก็จะถืออีกส่วนหนึ่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่อุทยานฯฝ่ายจัดหาบสัมภาระจะเป็นผู้กรอกรายละเอียดเอง ค่าจ้างหาบสัมภาระจะตกประมาณ กก.ละ 30 บาท ซึ่งท่านอาจจะจ่ายไว้กับเจ้าหน้าที่ผู้จัดหาบที่เชิงเขา หรือท่านจะนำไปจ่ายบนเขา เมื่อท่านตรวจรับสัมภาระครบถ้วนแล้วก็ได้
ที่มา : อุทยานแห่งชาติภูกระดึง โดย ร้านเจ้กิม 18ต.ผานกเค้า อ.ภูกระดึง จ.เลย โทร.081-4150004,(043)312255
ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยนะ
-
ข้อเตือนใจอีกข้อหนึ่งที่นักท่องเที่ยวภูกระดึงทั้งหลายควรระลึกไว้ คือเมื่อท่านจะว่าจ้างลูกหาบควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ของอุทยานฯ เสียก่อน เพื่อป้องกันบุคคลภายนอกที่เข้ามาแอบอ้างว่าเป็นลูกหาบแล้วแอบหาบของท่านหนีไป ซึ่งเคยมีตัวอย่างมาแล้ว เพราะลูกหาบที่อุทยานแห่งชาติภูกระดึงได้ขึ้นทะเบียนไว้นั้นทุกคนต้องมีบัตรประจำตัวลูกหาบ ท่านขอตรวจดูได้ ซึ่งเหตุการณ์ทำนองนี้มักจะเกิดขึ้นระหว่างที่มีนักท่องเที่ยวมาพร้อมกันมากๆ นักท่องเที่ยวบางกลุ่มกลัวว่าจะไม่มีคนหาบสัมภาระให้หรือบางกลุ่มอยากจะขึ้นเร็วๆ ไม่รอให้เจ้าหน้าที่จัดเพราะไม่ทันใจ จะไปถามหาลุกหาบเองจึงมักจะถูกผู้ไม่หวังดีหลอกเอา กว่าจะรู้ตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว ต้องเดือนดร้อนกันหลายฝ่าย บางครั้งก็สูญไปเลย เหตุการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้น ถ้าท่านนักท่องเที่ยวทั้งหลายให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อุทยานฯ โดยปฎิบัติตามคำแนะนำและยอมเสียเวลาบ้างเล็กน้อยเพื่อความสะดวกและปลอดภัยในทรัพย์สินของท่าน เมื่อท่านเห็นไม่เข้าท่าเข้าทางให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
หมู่บ้าน จัดสรรเต๊น
-
เดี๋ยวมาต่อ อีกกล้อง ภาพนิ่งไม่ค่อยได้ถ่าย ถ่ายวีดีโอส่วนใหญ่
-
ระยะทางในการเดินขึ้นเขา ที่หน้าป้อมด่านตรวจสัมภาระ อุทยานฯได้ตั้งป้ายบอกระยะทางไว้ดังนี้
1. ซำแฮก หรือซำตาแหก ระยะทาง 1,000 เมตร
2. ซำบอน ระยะทาง 1,700 เมตร
3. ซำกกกอก ระยะทาง 2,060 เมตร
4. พร่านพรานแป ระยะทาง 2,500 เมตร
5. ซำกกหว้า ระยะทาง 2,940 เมตร
6. ปางกกไผ่ ระยะทาง 3,500 เมตร
7. ซำกกโดน ระยะทาง 3,800 เมตร
8. ซำแคร่ ระยะทาง 4,380 เมตร
9. หลังแป ระยะทาง 5,400 เมตร
10. ที่ทำการศูนย์ฯวังกวาง ระยะทาง 8,900 เมตร
คำว่าซำเป็นภาษาพื้นบ้านถิ่นนี้ คือแหล่งน้ำเล็กๆ ที่ซึมออกมาจากใต้ดิน หรือใต้ภูเขา ชาวบ้านจะไปขุดคุ้ยให้เป็นแอ่งเล็กๆ ไว้ให้น้ำซึมออกมาขังไว้กินในฤดูแล้ง จะมีตามเชิงเขา ไหล่เขา หรือบนเขา อิสานบางจังหวัดเรียกน้ำซึมหรือน้ำซับ ภาคเหนือก็เรียกน้ำซับ สรุปแล้วเป็นความหมายอันเดียวกัน
กวาง เชื่องจนหากินไม่เป็นแระ
-
การขึ้นภูกระดึงนั้นผู้ที่ยังไม่เคยขึ้นมักจะรีบร้อนเพื่อจะให้ถึงเร็วๆ หารู้ไม่ว่าจะยิ่งถึงช้ากว่าคนที่เดินช้าๆไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน จงจำไว้ว่าการขึ้นภูกระดึงถ้าอยากถึงเร็วต้องเดินช้าๆ เมื่อเหนื่อยจงหยุดพักแต่อย่านาน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่นานท่านก็จะได้ขึ้นไปเดินบนพื้นราบที่เรียกว่าหลังแป ที่มีพันธุ์ไม้เมืองหนาวผลัดกันออกดอกชูช่อไสว ต้อนรับการมาเยือนของท่านอยู่สองข้างทางเดินประกอบกับทิวสนยืนเด่นสง่ารับอากาศที่บริสุทธิ์ มองออกไปข้างหน้าก็จะเห็นทุ่งโล่งสีน้ำอ่อนไกลลิบลิ่ว ที่ราบที่ท่านได้สัมผัสอยู่เบื้องหน้านี่แหละคือ แหล่องกำเนิดต้นน้ำพองอันเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่สายหนึ่งของพี่น้องชาวอิสาน และเป็นแหล่งเกิดแห่งลำนำเพลงรักอันหวานชื่นอมตะ ซึ่งเคยกระหึ่มมาแล้วทั่วแดนไทย
น้ำตกวังกวาง
-
น้ำตกถ้ำใหญ่
-
ไปสระอโนดาดมาด้วย
-
ลานองค์พระ
-
จักรยานของเรา
-
ทำไมชอบกันจัง ;D
-
เหนื่อยก็นอนพัก
-
ยามเย็นที่ผาหมากดูก
-
ตรงนี้ระหว่างทางจากสระอโนดาดไปผานาน้อย ชอบเขียวดี
-
บึง
-
บึงอีกรูปละกันชอบ
-
ผาหล่มสัก มุมมหาชน ไม่กล้าอยู่เย็นกลัวกลับไม่ถึงที่พัก
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1005;image)
จริงแล้วต้องอยู่ถึงเย็นแล้วเดินกลับได้บรรยากาศม๊าก
-
รอบนี้ถ้าไม่ได้จักรยานคงแย่ไม่ได้เที่ยวหลายที่ แต่แย่ตรงที่ปวดหน้าขามากก
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1007;image)
ถ้าเดินจะได้บรรยากาศอีกแบบ
-
ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยนะ
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1013;image)
จับได้ว่าไปไม่ทันผานกแอ่นใช่ใหม
แต่ที่นี่ก็สวยดีไม่แพ้กัน
-
น้ำตกวังกวาง
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1017;image)
สวย สวย คนถ่ายเก่งม๊าก
-
น้ำตกถ้ำใหญ่
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1018;image)
น้ำน้อนจัง เมเปิ้ลยังไม่แดงใช่ใหม
-
ลานองค์พระ
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1020;image)
บรรยากาศเหมือนหน้าฝนเลย
-
เหนื่อยก็นอนพัก
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1023;image)
น้ำหนักเกินจนต้นไม้หักเลยหรอ
-
บึงอีกรูปละกันชอบ
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1027;image)
สวย สวย ชอบ ชอบ
-
น้ำตกถ้ำใหญ่
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1018;image)
น้ำน้อนจัง เมเปิ้ลยังไม่แดงใช่ใหม
-
รอบนี้ถ้าไม่ได้จักรยานคงแย่ไม่ได้เที่ยวหลายที่ แต่แย่ตรงที่ปวดหน้าขามากก
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1007;image)
ถ้าเดินจะได้บรรยากาศอีกแบบ
เดินไกลมากแต่ละที่ไม่ไหว และอีกอย่างเที่ยวได้ไม่หลายที่ด้วย
-
ผาหล่มสัก มุมมหาชน ไม่กล้าอยู่เย็นกลัวกลับไม่ถึงที่พัก
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1005;image)
จริงแล้วต้องอยู่ถึงเย็นแล้วเดินกลับได้บรรยากาศม๊าก
โหยตั้ง 9 กิโล เดินไม่ไหว
-
ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยนะ
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1013;image)
จับได้ว่าไปไม่ทันผานกแอ่นใช่ใหม
แต่ที่นี่ก็สวยดีไม่แพ้กัน
ตั้งใจไม่ไปอยู่แล้ว มันไกล แต่ว่าดูจากรูปแล้ว พี่ขอบสระน้ำกว่าผานกแอ่นนะ น้ำมันนิ่งมาก และที่สำคัญไม่ไกล
-
น้ำตกถ้ำใหญ่
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1018;image)
น้ำน้อนจัง เมเปิ้ลยังไม่แดงใช่ใหม
แดงสอง สามใบเอง
-
น้ำตกวังกวาง
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1017;image)
สวย สวย คนถ่ายเก่งม๊าก
ครับ คนถ่ายเก่ง 555
-
อยากถ่ายทุ่งหญ้า ป่าสน ที่มันจะโล่งๆ เหมือนภูสอยดาว แต่ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหนล่ะ หรือว่าไม่มีแล้ว อ้อ และก็อยากเข้าป่าปิดด้วย มันต้องค้างคืนในป่าป่ะ หรือไปแล้วกลับมานอนทีเดิม
-
หมู่บ้านเต็นตอนเช้า มีทากด้วย โดนกัด ไป 3แห่ง
-
อันนี้ดอกอะไรไม่รู้ แต่มีคนแนะนำมา และก็ลืมชื่อแล้ว อยู่ที่สระอโนตาด
-
ถ่ายพยายามหลบคน :(
-
ขอทำเท่ห์หน่อยนะ ;D
-
อีกรูป ไหนๆ ก็หยุดพักแระ
-
บึง ถ่ายแบบแนวๆ
-
ดอกไม้ก็มีนะ หาย๊าก
-
รูปนี้ก็แถวที่พัก ขี้เกียจเดิน 8)
-
เหนื่อยก็นอนพัก
(http://hikingthai.com/webboard/index.php?action=dlattach;topic=2472.0;attach=1023;image)
น้ำหนักเกินจนต้นไม้หักเลยหรอ
มันหักก่อนหน้านี้แล้ว อย่าเข้าใจผิด
-
บึงอีกรูป 555
-
รอบนี้ถ้าไม่ได้จักรยานคงแย่ไม่ได้เที่ยวหลายที่ แต่แย่ตรงที่ปวดหน้าขามากก
สมาชิกเยอะจัง...น่าสนุกค่ะ
-
ดูพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยนะ
ชอบ ชอบ สวยค่ะ :)
-
รูปนี้ก็แถวที่พัก ขี้เกียจเดิน 8)
สีฟ้ากำลังสวยเลย สวยทุกทีที่ภูกระดึงค่ะ
-
ดอกไม้ก็มีนะ หาย๊าก
สวย สวย ความงามที่แตกต่างกัน ชอบอีก
-
ถ่ายพยายามหลบคน :(
มุมที่ทุกคนต้องมาเยือน..ถึงแล้วนะภูกระดึง :D
-
หมู่บ้านเต็นตอนเช้า มีทากด้วย โดนกัด ไป 3แห่ง
:o แสงสวยมาก มาก ชอบค่ะ หมู่บ้านเต็นที่อยากไปเยือน
-
อันนี้ดอกอะไรไม่รู้ แต่มีคนแนะนำมา และก็ลืมชื่อแล้ว อยู่ที่สระอโนตาด
จำไม่ผิดชื้อดอกหรีด
-
อันนี้ดอกอะไรไม่รู้ แต่มีคนแนะนำมา และก็ลืมชื่อแล้ว อยู่ที่สระอโนตาด
จำไม่ผิดชื้อดอกหรีด
โห เก่งอ่ะ ใช่ๆๆๆ
-
เส้นประแดงๆ คือแผนที่ที่จักรยานสามารถไปใด้นะครับ
1. ถ้าดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหล่มสัก จะต้องกลับเย็นเขาจะมีเจ้าหน้าที่พานำกลับที่พัก ก็ไกลอยู่ประมาณ 9 กม. ราคาเช่าจักรยานอยู่ที่ 360 บาท ใช้ได้ทั้งวัน
2. ถ้าดูพระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก จะใกล้ที่พักห่างประมาณ 2 กม. ราคาเช่าจักรยาน 310 บาท ใช้ได้ทั้งวัน แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่พากลับ
3. จักรยานที่ให้เช่าเป็นของเอกชนนะครับ ไม่ใช่ของอุทยาน
4.หากมีการเสียกลางทาง เขาจะมีเบอร์ติดไว้ที่จักรยานโทรแจ้ง จะมีเจ้าหน้าที่มาบริการให้
5.นอกเหนือจากเส้นประ จะต้องเดินอย่างเดียวนะครับ
6.ป่าปิด 1 และ 2 ยังเไม่เคยเข้า แต่คาดว่าน่าจะใช้เวลาทั้งวันเดิน และคงไม่ได้ค้างในป่า ใครจะไปชวนด้วยนะ
-
ไปรอบนี้เจอดาราด้วย นาวินต้า เพื่อนร่วมทริปหายเหนื่อยรีบวิ่งไปถ่ายรูป
-
สวยมากครับ อยากไปเที่ยวจัง
-
ภูกรดึงเมื่อครั้งโดนไฟลามทุ่ง กุมภาพันธ์ 2563
-
ช่วงหลังแปไปจุดพัก และจากจุดพักไปผาหมากดูก เกลี้ยง
-
สนถูกเผา
-
ไม่เหลืออะไรเลย
-
แล้วสัตว์ป่าจะกินอะไรเนี่ย
-
ดูเหมือนสัตว์ประหลาด
-
ใบไม้เปลี่ยนสีเมื่อโดนความร้อน ขอให้ฝนตกเร็วๆ ป่าจะได้พื้น สัตว์จะได้มีอาหาร
-
หลังจากไฟใหม้ก็ไปดูอีกรอบการฟื้นตัวเป็นไง (ตุลาคม 2563)
-
เปรียบเทียบ
-
ต้นสนไม่ฟื้นตัวเลย ฝนตกหนักน้ำมีเยอะ แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
-
น้ำตกถ้ำใหญ่
-
ผาหล่มสัก
-
ดอยผาจิต
-
ผาหล่มสักมุมที่ไม่ค่อยมีใครถ่าย
-
ทางช้างเผือกที่ผาเหยียบเมฆ
-
แฉะไปหมด