7
« Last post by designbydx on เมษายน 20, 2024, 07:23:30 am »
273.วัดธรรมบูชา
ลำดับชั้น : วัดพระอารามหลวงชั้นตรี
ชนิด : สามัญ
นิกาย : ธรรมยุต
แขวง/ตำบล : ตลาด
เขต/อำเภอ : เมืองสุราษฎร์ธานี
จังหวัด : สุราษฎร์ธานี
พ.ศ.ที่สร้าง :
พิกัด : 9.14352, 99.32715
วัดธรรมบูชา แต่เดิมเป็นป่าดอนสำหรับฝังศพและเผาศพ ชาวบ้านในสมัยนั้นเรียกว่าป่าช้าตอนเรียบ เพราะเมื่อประมาณ 50 ปีเศษ ก่อนสร้างวัด ณ ที่นั้นเป็นที่ฝังศพของนักโทษประหารและเป็นที่รกชัฏมากเงียบสงัดวังเวงปราศจากผู้คน ต่อมาทิดปลื้มชาวบ้านแถบนั้นได้สร้าง ศาลาหลังคามุงจาก สำหรับพระภิกษุมาสวดพระอภิธรรมขึ้นสองหลัง จนมีพระภิกษุรูปหนึ่งไม่ปรากฏนามมาพักอาศัยอยู่ในบริเวณนั้น ชาวบ้านเลยนิมนต์ให้อยู่ประจำ และสร้างขึ้นเป็นวัดชื่อ วัดดอนเรียบ พร้อมกับ สร้างกุฏิหลังเล็กๆ ให้ท่านอาศัย ต่อมาเมื่อท่านได้ลาสิกขามีพระธุดงค์ จากวัดอื่นเข้ามาอาศัยอยู่ในปริวาสกรรม คือ หลวงพ่อปลอด เป็นเจ้า อาวาสรูปแรกของวัดนี้ จนกระทั่งมรณภาพ เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว สภาพวัดคล้ายวัดร้างอยู่ระยะหนึ่ง
เมื่อ พ.ศ.2448 มีพระภิกษุรูปหนึ่งมีนามว่า กรับ ญาณวีโร (ท่าน จางวางกรับ ปาลิต) พร้อมด้วยพระอีก 2 รูป เดินทางจากสงขลาไป กรุงเทพฯ เมื่อท่านทั้ง 3 รูป เดินทางมาถึงจังหวัดสุราษฎร์ธานี เห็นสภาพของวัตตอนเรียบก็รู้สึกพอใจในสถานที่ของวัด ท่านทั้ง 3 เป็น นักวิปัสสนาธุระ ครั้นถึงวันเข้าพรรษาท่านทั้ง 3 ก็มาจำพรรษาที่วัดตอนเรียบนี้ ชาวบ้านแถบนั้นประมาณ 40-50 คน ได้ช่วยถางป่าน้อยใหญ่ เพื่อจะสร้างบริเวณนั้นให้เป็นวัด เมื่อสร้างวัดพอเป็นหลักฐานจึงได้ขอตั้งวัด และขอเปลี่ยนชื่อวัดต่อเสนาบดีมหาดไทย ซึ่งในสมัยนั้น กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ยังเป็นกรมหลวงดำรงตำแหน่งนี้ ขณะนั้นกำลังเสด็จตรวจราชการทางมณฑลภาคใต้ จึงได้เปลี่ยนชื่อวัดตอนเรียบ ให้ใหม่เป็นวัดธรรมยุติการาม พระกรับได้ทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ อยู่ 4 ปี ร่วมกับเจ้าจอมพิณศรี สุพรรณศรี (พิณ ณ นคร) ในรัชกาลที่ 5 นางศรีสุพรรณดิส (จิ๋ว ณ นคร) นางชำนาญ พินิจคงคา (สิน แซ่หลี) คุณนายเกตุ นายฮก-นางตรึก สุวรรณกูล นายแดงนุ้ย นางแตงและ ทายกทายิกาอีกหลายท่าน
ในปี พ.ศ.2452 พระมหาวันเปรียญ 8 ประโยค ได้เดินธุดงค์ มาพักที่วัด พระกรับจึงได้มอบภาระทั้งหมดให้พระมหาวัน และท่านก็ เดินทางกลับเมืองนครศรีธรรมราช แล้วเดินทางเข้ากรุงเทพฯ และอยู่ ในกรุงเทพฯ จนลาสิกขา เมื่อพระมหาวันมาอยู่จำพรรษาตั้งแต่ พ.ศ.2552 ถึง พ.ศ.2454 และลาสิกขา ออกพรรษาในปีนั้นท่านก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ
ต่อมา พ.ศ. 2454 พระครูโยคาธิการวินิต (ทอง) ได้มาอยู่และ เป็นเจ้าอาวาส ในปี พ.ศ. 2457 เจ้าอาวาส ได้จัดทำแผนผังของวัดรายงานต่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ได้ทรงรับรายงานและทรงเห็นชื่อว่าวัดธรรมยุติการาม ก็ไม่ทรงพอพระทัย โดยดำริว่าชื่อวัดนี้เป็นการเฉพาะหมู่เฉพาะคณะหนึ่งเท่านั้น ไม่เหมาะแก่สาธารณะ จึงมีลายพระหัตถ์ถึงกรมพระยาดำรงฯ ให้เปลี่ยนชื่อวัดเสียใหม่ว่าวัดธรรมบูชา และได้ใช้ชื่อว่าวัดธรรมบูชาตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน ในปี พ.ศ. 2490 พระครูโยคาธิการวินิตก็มรณภาพ
ในปี พ.ศ.2490 ท่านเจ้าคุณพระธรรมวิโรจนเถร (พลับ) สมัยนั้นยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระครูสาสนภาณพินิจ ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้ปรับปรุงพัฒนาวัดตามลำดับมา จนได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระบรมราชานุญาต ให้ยกฐานะวัดขึ้นเป็นพระอารามหลวง ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2491 ท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส รูปแรกของพระอารามหลวง และดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดฝ่าย ธรรมยุตรูปแรกด้วย จนกระทั่งถึง พ.ศ. 2498 ท่านก็มรณภาพ
ต่อมา พ.ศ. 2499 พระเทพสารสุธี (แสง ชุตินฺธโร ป.ธ. 5) ในสมัยนั้นยังดำรงสมณศักดิ์เป็นพระโชติธรรมวราภรณ์ ได้ดำรงตำแหน่งพระอารามหลวงแหน่งราชอากราจักรสาม
เจ้าอาวาสและเจ้าคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี (ธรรมยุต) จนถึงปัจจุบัน ท่านได้ปรับปรุงและสร้างเสนาสนะในวัดตลอดมา
พระอุโบสถ สร้างเสร็จเมื่อประมาณ พ.ศ. 2450 สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ทรงประยุกต์ มุงด้วยกระเบื้องปูน สร้างในสมัยพระกรับ ญาณวีโร เป็นเจ้าอาวาสและถูกวาตภัยครั้งใหญ่ เมื่อ พ.ศ. 2505 ชำรุดทรุดโทรมมากยากแก่การจะบูรณะให้คงสภาพเดิมได้ จึงได้จัดการก่อสร้างพระอุโบสถ หลังใหม่ขึ้นโดยสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (จวน อุฏฐายี) วัดมกุฎกษัตริยาราม กรุงเทพฯ เสด็จทรงวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 และเริ่มดำเนินการก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2519 ขณะนี้การ ก่อสร้างยังไม่แล้วเสร็จ
ศาลาการเปรียญ เป็นศาลาทรงไทยสร้างด้วยไม้ เสาคอนกรีต ยกพื้นสูงสร้างเมื่อ พ.ศ. 2496 และได้ขยายตัดแปลงให้กว้างขวางกว่า เดิม เพื่อสะดวกในการที่ประชาชนจะมาประชุมฟังธรรมและประกอบพิธี อื่นๆ ใน พ.ศ. 2499
หอระฆัง สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2470 โดยนางนึก วัดนี้มีเนื้อที่ตั้งวัดทั้งสิ้น 19 ไร่ 1 งาน 4.5 ตารางวา
ที่มา : พระอารามหลวงแห่งอณาจักรสยาม, ลำจุล ฮวบเจิรญ